เสียงของเฟิงจงดึงความสนใจของถูซานสือฟางกลับมา เขาลุกขึ้นพลางทอดสายตามองไปไกลๆ เห็นตรงเส้นขอบฟ้าค่อยๆ ปรากฏผืนทะเลกว้างใหญ่ น้ำทะเลที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้นมีสีดำเข้มปานน้ำหมึก ริมฝั่งมีแต่โขดหินสลับกับชะง่อนผาสูงชัน และมีเสียงซ่าๆ ดังขึ้นยามเมื่อน้ำทะเลซัดสาด
พอฟางจวินเยี่ยขี่เมฆร่อนลงไป เฟิงจงก็ก้าวเท้ายาวๆ วิ่งไปถึงริมชะง่อนผา นางระบายลมหายใจยาวท้ารับเสียงลมทะเลที่อื้ออึง
ของวิเศษเอ๋ย…ในที่สุดข้าก็มาถึงจนได้!
ฟางจวินเยี่ยเดินมาสอบถาม “ถึงทะเลเขี้ยวพิโรธแล้ว…จากนั้นเล่า”
เฟิงจงชะงักไปเล็กน้อย เพียงเอ่ยประโยคเดียวว่า “รอประเดี๋ยว” จากนั้นนางก็นั่งลงหลับตา
ถูซานสือฟางกับฟางจวินเยี่ยล้วนไม่รู้เป้าหมายของนางจึงไม่กล้ารบกวน ผ่านไปพักใหญ่นางถึงได้ยืนขึ้น เดินมุ่งหน้าไปอย่างคึกคักลิงโลด “ไปกันเถอะ ข้านึกสถานที่ออกแล้ว”
ฟางจวินเยี่ยเดินตามมากล่าว “ความจำของเจ้าออกจะแย่เกินไปแล้ว แค่ต้องไปที่จุดไหนก็ยังหลงลืมได้”
เฟิงจงมองฟางจวินเยี่ยด้วยสายตาพิกลหนหนึ่ง…แล้วพวกที่จำไม่ได้กระทั่งนามของผู้อื่นนี่มีหน้ามาสั่งสอนข้าด้วยหรือ ข้านิทรามาตั้งหลายพันปี หากยังจำได้ขึ้นใจก็แปลกแล้ว
หลังจากเดินเลียบชายฝั่งไปราวร้อยกว่าก้าว เฟิงจงก็หยุดฝีเท้า เบื้องหน้ามีชะง่อนผาสูงชันแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านเสียดเมฆ หินประหลาดตะปุ่มตะป่ำถูกน้ำทะเลส่องกระทบจนเป็นประกายสีดำขลับ
นางแหงนหน้ามองแล้วมองอีก “แปลกแท้ ข้าจำได้ว่ากึ่งกลางของผานี้มีโพรงถ้ำอยู่แห่งหนึ่งนี่”
ถูซานสือฟางกล่าว “เวลาห่างกันนานมากๆ บางทีโพรงถ้ำนั้นอาจจมอยู่ในน้ำทะเลแล้วก็เป็นได้”
ฟางจวินเยี่ยเห็นพ้องกับเขาอย่างหาได้ยาก “จริงทีเดียว ระยะนี้อยู่ในช่วงน้ำขึ้นพอดีด้วย”
เฟิงจงหัวคิ้วขมวดแน่น “เช่นนั้นข้าจะเข้าไปได้อย่างไร”
“ข้าไต้อ๋องเข้าไปแทนเจ้าเองก็แล้วกัน เจ้าจะเข้าไปทำอะไรบ้าง ว่ามาได้เต็มที่เลย!” ถูซานสือฟางม้วนแขนเสื้อ ท่าทางเปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรีอันเร่าร้อนยิ่ง
ฟางจวินเยี่ยเอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยาม “เจ้ากับพวกเราเป็นแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมาพบกัน อย่างเจ้าก็คู่ควรให้เชื่อใจด้วยหรือ ในเมื่อข้ารับคำไหว้วานจากผู้อื่นมาแล้ว ก็ย่อมซื่อตรงต่องานนั้น ข้าต่างหากที่ช่วยเหลือนางได้”
“ข้าไต้อ๋องเคยพบเจอพวกที่โอ้อวดตน แต่ก็ยังไม่เคยพบเจอพวกที่หน้าไม่อายเช่นเจ้าเลยจริงๆ” ถูซานสือฟางเหลือกตาไม่หยุด
เฟิงจงมองซ้ายแลขวา ล้วนไม่ใช่ผู้ที่นางจะวางใจได้มากนัก สุดท้ายนางจึงหยิบถุงฟ้าดินออกมาจากอกเสื้อ “ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว ข้ามีหุ่นเวท”
พอเขย่าถุงฟ้าดิน เซวียนชิงก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตาในขนาดเท่าตัวจริง เฟิงจงเพียงจรดนิ้วทำมุทรา เขาก็เดินหน้าไปเงียบๆ ไม่ช้าเงาร่างก็จมลงสู่ทะเลไม่เห็นตัวแล้ว
เฟิงจงนั่งลงขัดสมาธิ จดจ่ออยู่กับการควบคุมให้เซวียนชิงสำรวจหาโพรงถ้ำในทะเล ฟางจวินเยี่ยกับถูซานสือฟางไม่ว่าใครก็ไม่ได้ออกหน้า อีกทั้งยามนี้ยังไม่เหมาะที่พวกเขาจะรบกวนนาง ต่างฝ่ายจึงต่างถอยออกไป มีเพียงฉยงฉีที่นั่งตะปบเล่นก้อนหินอย่างเบื่อหน่ายอยู่ข้างกายนาง
ไม่ผิดจากที่คาดกัน เซวียนชิงพบโพรงถ้ำบนผาส่วนที่อยู่ใต้น้ำทะเลจริงๆ
ไม่ว่าลืมสิ่งใดไป เฟิงจงก็ไม่มีทางลืมตำแหน่งแน่ชัดที่ตนวางของวิเศษไว้ไปได้แน่ ภายหลังที่เซวียนชิงเข้าสู่โพรงถ้ำ แม้ภายในจะมีแต่ความมืดมิด ทว่านางก็ยังอาศัยความทรงจำของตนเองควบคุมให้หุ่นเวทเสาะหาของวิเศษพบได้อย่างแม่นยำ
เสียงซ่าดังขึ้นบนผิวทะเล พอหุ่นเวททะยานร่างพ้นน้ำก็กระโดดขึ้นไปบนชะง่อนหินใหญ่ที่ยื่นออกมาจากผา ในมือซ้ายของเขากุมคทาไม้เล่มหนึ่ง ด้านบนมีลวดลายกระหวัดวนดุจมังกรเหาะเหิน ในมือขวาถือแจกันหยกหนึ่งใบซึ่งมีสีน้ำเงินแพรวพรายงามล้ำเลิศ
“นี่ก็คือสิ่งของที่เจ้าต้องการนำกลับไป?” สองตาของฟางจวินเยี่ยจับจ้องอยู่ที่สองมือของหุ่นเวทโดยไม่ละสายตา