ซีกวงพาเฟิงจงเดินไปทางตะวันออกต่อไป เบื้องล่างคือเขตแดนของชิงชิวแล้ว สภาพทิวเขาดูแปลกตา นอกจากภูเขาเก้าลูกที่ทอดตัวสลับซับซ้อนแล้ว ยังมีปราณเซียนแผ่กำจายออกมารางๆ เขาเคยมาเยือนที่นี่จึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี ฝั่งทางใต้ของทิวเขานี้มีหยกเขียวอยู่ชนิดหนึ่ง หากพกพาไว้จะช่วยเพิ่มปราณวิเศษได้ เขาตั้งใจแต่แรกแล้วว่าเมื่อผ่านมาที่นี่จะไปหาหยกเขียวชนิดนั้นมาให้เฟิงจงสักชิ้น
เพิ่งจะขี่เมฆลงต่ำ เตรียมจะหยุดพักละแวกนั้นโดยไม่ให้ภูตผีวิญญาณหรือบรรดาเทพเซียนล่วงรู้ ด้านข้างก็พลันมีเสียงหวานตวาดดังขึ้นเสียก่อน “โจรจากที่ใดกันถึงกับกล้าบุกรุกชิงชิวของตระกูลถูซานข้า!”
ซีกวงกุมหน้าผาก อยากจะเผ่นหนีก็ไม่ทันแล้ว
เสียงกระพรวนกังวานใสดังออกมาจากในป่า มีสาวน้อยร่างบอบบางผู้หนึ่งเดินออกมาจากเงาไม้ชั้นแล้วชั้นเล่า บนข้อเท้าของนางผูกกระพรวนอยู่หนึ่งลูกซึ่งดูสะดุดตา เบื้องหลังยังติดตามมาด้วยชายหนุ่มร่างสูงโปร่งอีกคนหนึ่ง ทั้งสองล้วนมีเรือนผมสีเงิน สวมอาภรณ์สีขาว
“เป็นข้าเอง” ซีกวงเป็นฝ่ายเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว
“เอ๋? นี่ตงจวินมิใช่หรือ” สาวน้อยมองปราดเดียวก็จดจำซีกวงได้แล้ว นางเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พอวิ่งเข้ามาใกล้ สายตาก็ชะงักอยู่บนร่างเฟิงจงที่อยู่ในอ้อมอกเขา สาวน้อยผมสีเงินตะลึงงันไปทันใด “มนุษย์?”
ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังเร่งสาวเท้าก้าวใหญ่มาพิจารณาเฟิงจง ก่อนจะเอ่ยกับสาวน้อยผู้นั้นว่า “ซิ่วซิ่ว พาพวกเขาไปพบหัวหน้าเผ่า เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรแปลกๆ เชียว”
สาวน้อยไหนเลยจะไยดีในสิ่งที่เขาพูด นางผลักซีกวงออกห่าง จากนั้นทั้งเกาะแขนของเฟิงจงไว้ ทั้งคลี่ยิ้มกว้างดุจบุปผาบาน “น้องสาว ข้ามีนามว่าถูซานซิ่วซิ่ว เจ้าล่ะมีนามว่าอะไร ต่อไปเจ้าก็มาพำนักร่วมกับข้าที่ตระกูลถูซานดีหรือไม่ ข้าจะดีต่อเจ้าให้มากๆ ข้ายังจะ…”
ขณะที่เฟิงจงพยายามเอียงศีรษะหลบดวงหน้าของอีกฝ่ายที่ชิดใกล้เข้ามาทุกที นางก็พลันนึกถึงถูซานสือฟางขึ้นมา พวกเซียนจิ้งจอกนี่ช่างอาวรณ์ปราณมนุษย์เสียจริง
เมื่อเห็นนางไม่มีทีท่าจะยินยอมคล้อยตาม ถูซานซิ่วซิ่วก็ตบหน้าผากตนเองทีหนึ่ง “เฮ้อ ดูข้าสิ คงเพราะเข้าใจความชื่นชอบของเจ้าผิดพลาดไปแน่ๆ เจ้าชมชอบบุรุษใช่หรือไม่” นางพูดพลางพลิกโฉมแปลงกายมาเป็นหนุ่มน้อยรูปงามสง่าผู้หนึ่ง “เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าจะยอมรั้งอยู่ที่นี่ได้หรือยัง”
ซีกวงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทางหนึ่งรีบสกัดขวางท่าทางตอแยของถูซานซิ่วซิ่ว อีกทางก็เอ่ยเรียกชายหนุ่มผู้นั้น “ถูซานเฟิ่ง เจ้าก็ควบคุมนางเสียบ้างสิ”
ชายหนุ่มนามถูซานเฟิ่งจึงคว้าหลังคอของถูซานซิ่วซิ่วไว้ในคราวเดียว เพียงตีเบาๆ ไปบนศีรษะนาง ชั่วพริบตานางก็กลายร่างเป็นจิ้งจอกน้อยเก้าหางที่ถูกหิ้วอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาคล้ายเคยชินแต่แรกจึงไม่ได้เก็บท่าทีของจิ้งจอกน้อยมาใส่ใจ เพียงยกมือผายมาทางซีกวงกับเฟิงจง “ทั้งสองท่านโปรดตามข้าไปพบหัวหน้าเผ่าด้วย นี่เป็นกฎ”
แม้วาจาฟังดูเกรงอกเกรงใจ แต่ที่จริงแล้วเขาเองก็จับจ้องเฟิงจงไม่วางตามาตลอดเช่นกัน นานกี่ปีแล้วที่ไม่ได้พบเจอมนุษย์เป็นๆ อีกเลย กลิ่นอายนี้ช่างชวนให้ระลึกถึงยิ่งนัก
ฉยงฉีที่กระโดดโลดเต้นได้เช่นเดิมแล้วคอยเดินตามอยู่ด้านหลัง ประจวบเหมาะที่อยู่ใกล้กับจิ้งจอกเก้าหางที่ถูกถูซานเฟิ่งหิ้วอยู่ พวงหางสีขาวฟูฟ่องทั้งเก้านั้นกวาดมาบนตัวของมันเป็นระยะ ชวนให้สบายตัวยิ่ง มันจึงยื่นอุ้งเท้าเจ้าเนื้อของตนไปเขี่ยพวงหางนั้นตลอดทาง ผลคือทำให้ถูซานซิ่วซิ่วมีโทสะ แยกเขี้ยวตวาดแว้ดใส่มันประโยคหนึ่ง “เจ้าสัตว์อสูรอย่ามาแตะต้องตัวข้านะ!”
ฉยงฉีแยกเขี้ยวโต้กลับไปเช่นกัน “พู! ชือชือชือพู!” หน็อย! ก็บิดาจะแตะต้อง แน่จริงมาสู้กับบิดาสิ!