ถุงหนังสือในมือที่เริ่มมากขึ้นทำให้ตาณหัวเราะกับตัวเองเบาๆ พลางนึกชั่งใจว่าน่าจะกลับบ้านเสียก่อนที่จะหมดทั้งเงินและแรงหิ้วหนังสือ
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะซื้อให้น้อยที่สุด แต่เอาเข้าจริงพอได้เดินชมงานเขาก็อดไม่ได้ตามประสาคนรักการอ่านที่เสพตัวหนังสือเหมือนสูดอากาศหายใจ
โทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องรีบเลื่อนมือไปแตะปุ่มรับที่สายสมอลล์ทอล์กซึ่งต่อไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มาแนบหู
“ครับแม่” ตาณตอบรับไปก่อนที่คนโทรเข้าจะได้เริ่มพูดเสียด้วยซ้ำ
“เรียบร้อยหรือยังตาณ จะกลับบ้านหรือยังลูก”
“ถ้าแม่หมายถึงเงินในกระเป๋าตาณล่ะก็ หมดเรียบร้อยแล้ว ได้หนังสือมาหลายเล่มเลย กลับไปตาณจะขอเบิกนะแม่”
“ไหนบอกว่าคุมอยู่ไง ทำไมหมดตัวได้ล่ะ” เสียงแม่หัวเราะเบาๆ แว่วมาตามสาย
“นั่นสิ ตาณว่าคุมอยู่แล้วเชียว ตบะแตกจนได้ เอาเป็นว่าตาณมาทำงานให้แม่…แม่ก็รับเป็นเจ้ามือให้ตาณหน่อยเถอะนะ เดี๋ยวตาณจะรีบกลับไปเบิกเลย” ชายหนุ่มเหมาเอาดื้อๆ โมเมเสร็จสรรพให้มารดาเป็นนายทุน
“จะมาเอากี่โมงล่ะ เย็นนี้แม่ต้องไปงานเลี้ยงนะ จะกลับมาทันหรือเปล่า แล้วหนังสือที่บอกว่าไปรับให้น่ะ แม่จะได้เห็นวันนี้ไหมเนี่ย”
“โห ถ้าแม่บอกว่าให้ตังค์นะ ตาณกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย อีกครึ่งชั่วโมงถึง ขอกระท้อนลอยแก้วเย็นๆ ถ้วยหนึ่งด้วยนะแม่ แก้ร้อน”
“สั่งเชียวนะ ได้จ้า แม่จะคอย”
ปลายสายที่ตัดไปแล้วทำให้ตาณยิ้มอยู่คนเดียว ครอบครัวที่เหลือแค่เขากับแม่สองคนทำให้ตาณค่อนข้างสนิทกับท่าน สำหรับตาณแล้ว แม่คือทุกอย่างในโลก ซึ่งเขาก็รู้ว่าในสายตาและหัวใจแม่ เขาคือที่สุดของความรักเช่นกัน
“นักเขียนในดวงใจที่เป็นต้นแบบคือคุณแววบุหลันค่ะ”
ชื่อนามปากกาที่ได้ยินจากเวทีกิจกรรมที่ตัวเองกำลังจะเดินเลียบผ่านไปหยุดสองเท้าของตาณเอาไว้ ใบหน้าคมสันเบือนไปมองเวที รอยยิ้มบางๆ ระบายบนใบหน้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินว่า ‘แววบุหลัน’ คือต้นแบบในดวงใจของนักเขียนรุ่นใหม่ และสำหรับเขาแล้ว แม้ไม่คิดยึดอาชีพนักเขียน แต่ ‘แววบุหลัน’ เป็นนามปากกาที่ไพเราะที่สุด ทุกครั้งที่ได้ยินการพูดถึงอย่างชื่นชม เขาจึงอดปลื้มใจไปด้วยไม่ได้เสมอ
ดวงตายาวรีทอดมองหญิงสาวตัวเล็กบางที่กำลังตอบพิธีกรถึงความประทับใจที่เธอมีต่อ ‘แววบุหลัน’ อย่างสนใจ
“ภาษาในงานเขียนของคุณแววบุหลันกระทบหัวใจและแสดงให้เห็นถึงความรัก ไม่ว่าจะเป็นรักอย่างหนุ่มสาว รักอย่างคนในครอบครัว หรือกระทั่งรักชาติบ้านเมือง พอได้อ่านก็จะรู้สึกเหมือนหัวใจได้รับการกล่อมเกลาปลอบโยน จนรู้สึกว่านิยายไม่ใช่แค่เรื่องประโลมโลก แต่ยังปลอบประโลมหัวใจได้ด้วย ก็เลยอยากจะเป็นนักเขียนให้ได้บ้างน่ะค่ะ”
คำตอบที่เปล่งด้วยน้ำเสียงสดใสที่ได้ยินทำให้ตาณนึกเสียดาย
…น่าอัดเสียงกลับบ้านไปฝากแม่…
ความรู้สึกของหญิงสาวบนเวทีที่มีต่อ ‘แววบุหลัน’ ทำให้ตาณพิศมองใบหน้าของเธออย่างจริงจัง รู้สึกคุ้นตาจนเผลอขมวดคิ้ว แต่ครู่เดียวเท่านั้นดวงตาก็เป็นประกายเพราะจำได้
…ผู้หญิงตัวเล็กที่เขาเดินชนนี่นา…ท่าทางทั้งรักทั้งห่วงหนังสือที่ตกพื้นของเธอยังชัดเจนในความทรงจำ
เป็นนักเขียนเสียด้วย มิน่าล่ะ รักหนังสือนักหนา
จากที่ตั้งใจจะกลับบ้านเสียที สุดท้ายก็กลายเป็นว่าตาณขยับไปยืนพิงเสาต้นใหญ่ ฟังการสัมภาษณ์นักเขียนหน้าใหม่ที่ชื่อลตางค์ตั้งแต่ต้นจนจบไปเสียอย่างนั้นเอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 มี.ค. 64