บทที่ 1
ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนทำให้ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งต้องอาศัยความระมัดระวังอยู่สักหน่อยในการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า สายตามองสูงเหนือระดับศีรษะ หาป้ายชื่อสำนักพิมพ์ที่เป็นจุดหมายปลายทางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าคมสันจะระบายยิ้มน้อยๆ
…อยู่นั่นเอง…
ชายหนุ่มขยับตัวไวอยากไปให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น ทั้งที่คิดว่าระวังดีแล้วก็ยังพลาดชนหญิงสาวตัวเล็กคนหนึ่งเข้าจนได้อยู่ดี
“ขอโทษครับ”
ไวกว่าความคิด มือของเขาโอบตวัดรอบเอวเธอเอาไว้เหมือนเป็นสัญชาตญาณมากกว่าตั้งใจ
‘เป็นผู้ชายต้องดูแลปกป้องผู้หญิงนะลูก’ คำสอนของแม่ตั้งแต่เล็กจนโตล่ะมั้งที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
“ขอโทษค่ะ” เสียงของหญิงสาวพึมพำตอบกลับมาทั้งที่เป็นฝ่ายถูกชน พอตั้งตัวได้ก็รีบเบี่ยงตัวออกจากการประคองของเขาเพื่อทรุดตัวลงไปหยิบถุงหนังสือที่ตกลงพื้นขึ้นมาอย่างหวงแหนก่อนที่มันจะกลายเป็นที่รองเท้าของใครเข้า โดยไม่สนใจหันมามองชายหนุ่มผู้มีน้ำใจเลยสักนิด
อาการประคองเป็นห่วงหนังสือของเธอทำให้สายตาของเขาอ่อนแสงโดยไม่รู้ตัว กระทั่งเผลอไล่สายตาพิศมองใบหน้าเรียวมนล้อมกรอบด้วยผมยาวตรงประบ่า ประกายตาโล่งใจของเธอเมื่อไม่พบความเสียหายเกิดขึ้นกับหนังสือในมือทำให้อดชอบใจไม่ได้
คนรักหนังสือ…แถมยังเป็นหนังสือที่เขาเองก็รักมากเสียด้วย ไม่ว่ามันจะมีกี่ก๊อปปี้ หรืออยู่ในความครอบครองของใครก็ตาม
“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้ที่มุมปาก ค้อมศีรษะส่งมาก่อนจะก้าวจากไปด้วยท่าทางเร่งรีบ พากลิ่นลาเวนเดอร์หอมอ่อนที่แตะปลายจมูกเขาจากไปพร้อมกัน
ชายหนุ่มทอดสายตามองตาม เห็นเธอชะงักชนหญิงวัยกลางคนห่างออกไปอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะนึกห่วง จึงมองอาการขอโทษขอโพยของเธออยู่อย่างนั้น กระทั่งร่างเล็กบางหายลับตาจึงขยับตัวบ้าง รอยยิ้มบางๆ ยังติดที่มุมปาก สองขาก้าวไวหลบหลีกผู้คนที่เบียดเสียด
“ตาณ!” เสียงและมือของชายวัยกลางคนเรียกจากบูธสำนักพิมพ์ชื่อดังทำให้เขาเร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปหา สองมือยกไหว้ทำความเคารพนำไปก่อน
“มาจริงๆ นั่นแหละ”
“มาสิ ของฟรีต้องรีบหน่อย จะมัวใจเย็นไปทำไม ไหนล่ะพี่ก้อง หนังสือน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี มุมปากยกยิ้ม คราวนี้ไม่ใช่สำหรับคู่สนทนา แต่เผื่อแผ่ไปยังสาวๆ ที่อยู่ในเครื่องแบบสำนักพิมพ์ภายในบูธอีกด้วย
“พอๆ อย่ามาทำหว่านเสน่ห์แถวนี้ นี่หนังสือ ได้แล้วก็ไปเสียที” ก้องภพดักคอแล้วออกปากไล่
ตาณหัวเราะ มือล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรมาส่งให้ก่อนจะรับถุงหนังสือหลายเล่มแต่เรื่องเดียวกันมาถือไว้ แม้จะออกปากว่ามารับของฟรี แต่เขาซื้อหนังสือเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งด้วยทุกครั้ง ถือเป็นการอุดหนุนคนเขียนเอาฤกษ์เอาชัยมาตลอด
“แค่นี้ทำหวงไปได้ ตาณก็แค่ให้กำลังใจน้องๆ ที่ต้องทำงานตรากตรำกับเจ้านายวัยทองเท่านั้นเอง ยังไม่ได้ขอเบอร์ใครสักหน่อย”
“อย่าขอเลย กลัว”
คำตอบที่ได้รับทำให้ชายหนุ่มอดเลิกคิ้วถามทวนไม่ได้
“กลัว? กลัวอะไร”
“กลัวเราจะเอาเบอร์ของเขาไปแล้วไปเลย ไอ้รอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ที่หว่านๆ ไปน่ะ ไม่เคยเห็นเลือกจริงจังสักที เสียดายของ”
“เสียดายเสน่ห์ตาณเหรอพี่ก้อง”
“เสียดายเวลาของสาวๆ ที่มานั่งรอตาณนั่นแหละ ไปไป๊ ได้หนังสือแล้วก็กลับไปได้แล้ว” ก้องภพไล่เอาง่ายๆ
“ไล่แน่นะ” คำถามและแววตาเป็นประกายที่ได้เห็นทำให้ก้องภพเริ่มลังเล พอได้เห็นอาการตบมือเบาๆ บนกระเป๋าสะพายข้างกายก็นึกรู้
ไอ้ตัวดีมีไม้เด็ด
“ป้าฝากอะไรมาให้ เอาออกมาเลย ห้ามอมนะเว้ย!”
“เปลี่ยนใจไม่ไล่ตาณแล้วเหรอ งั้นขอกาแฟเย็นสักแก้วสิ ฮิ้วหิว อากาศข้างนอกร้อนจริงๆ กระเป๋าตาณเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็เหนียวหนืดๆ เปิดยากชะมัด สงสัยจะร้อนเหมือนเจ้าของ”
ท่าทางทะเล้นของตาณทำให้ก้องภพอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเบาๆ พลางหันรีหันขวาง ตั้งใจจะเรียกหาเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายต้องการมาให้ ยังไม่ทันออกปากใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาเสียก่อนพร้อมแก้วกาแฟเย็นจากร้านดัง
“พี่จี๊ดสวัสดีครับ เจอกันกี่ทีก็ยังสวยใจดีเหมือนเดิมเลยนะครับ”
ตาณวางถุงหนังสือ ยกมือไหว้ก่อนรับเครื่องดื่มมาดูดจนชื่นใจ พลางส่งสายตาหวานเป็นประกายไปให้
“นี่พี่สาวฉัน เดี๋ยวเถอะเจ้าตาณ เว้นสักคนได้ไหมเนี่ย” ก้องภพแกล้งโวย พลางยื่นมือมารั้งพี่สาวให้ห่างเจ้าน้องชายร่วมโลก แต่ก็กลายเป็นตัวเองโดนตีมือดังเพียะ
“ให้มันน้อยๆ หน่อย!” เจ้าของมือบางเอ็ดเข้าให้
“หนังสือใหม่ของแววบุหลันมาหรือยังคะ” เสียงลูกค้าหน้าบูธดึงความสนใจของตาณให้หันไปมอง รอยยิ้มดีใจที่ได้เห็นเมื่อหญิงสาวผู้นั้นได้รับหนังสือนิยายเล่มใหม่ล่าสุดของแววบุหลันไปถือไว้ในมือทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย
“ไม่เชิญมาแจกลายเซ็นที่บูธเหรอคะ อยากพบสักครั้ง” เสียงครวญต่อมาได้รับคำขอโทษจากพนักงานขายอย่างอ่อนน้อม
‘แววบุหลัน’…แม้จะเป็นนักเขียนชื่อดังในบรรณพิภพ แต่แทบจะไม่เคยมีใครได้พบตัวจริงเลย
“คุณป้าเป็นยังไงบ้างตาณ สบายดีหรือเปล่า” เสียงของจิราภารั้งให้ชายหนุ่มที่กำลังดูดกาแฟอมยิ้มฟังคนซื้อและคนขายพูดคุยกันให้หันกลับมาหา
“สบายดีครับ เพิ่งกลับมาจากสุโขทัย แม่ฝากของมาให้พี่จี๊ดด้วย ส่วนถุงนี้ของน้องๆ ที่มาช่วยงาน”
ตาณลดแก้วกาแฟวางบนโต๊ะข้างตัว เปิดกระเป๋าหยิบของที่มารดาฝากมาส่งให้กับจิราภา พี่สาวคนเดียวของก้องภพ ซึ่งจะว่าไปก็คือบอสใหญ่ของสำนักพิมพ์แห่งนี้
“ขอบใจนะจ๊ะที่อุตส่าห์เอามาให้ด้วยตัวเอง คุณป้าด้วย…ฝากเรียนว่าแล้วพี่จะตามไปกราบขอบคุณที่บ้านนะ”
“ครับ”
“แล้วของฉันล่ะ” ก้องภพแบมือรอ
ตาณยื่นของที่ตัวเองแกล้งเก็บไว้หลังสุดไปให้อย่างอ้อยอิ่ง
“ตาณให้ถึงมือแล้วนะ นึกว่าไม่เอาแล้วเสียอีก”
ก้องภพเกือบแยกเขี้ยวเข้าให้ แต่ยังสามารถข่มใจรับของฝากมามองอย่างชื่นชม
…พระกริ่ง…
หน้าที่การงานของเขาอาจอยู่ในแวดวงบรรณพิภพ แต่เวลาหลังเลิกงานทั้งหมดของก้องภพจะถูกทุ่มเทให้กับวัตถุทางธรรมเหล่านี้
ตาณมองอาการปลื้มอกปลื้มใจซึ่งมีต่อสิ่งที่ได้ของก้องภพแล้วหัวเราะเบาๆ พลางขยับตัว มือหนึ่งกระชับสายสะพายกระเป๋า อีกมือหยิบถุงหนังสือ ท่าทางของเขาทำให้จิราภาถาม
“จะกลับแล้วเหรอ เพิ่งมาเองนะ”
“ทำงานให้แม่เสร็จแล้ว ถึงตาธุระของตาณมั่งสิครับ ว่าจะแวะดูหนังสือเสียหน่อย ตาณไปนะครับพี่จี๊ด พี่ก้อง”
ตาณส่งยิ้มอีกครั้งเป็นการส่งท้ายแล้วก้าวถอยออกไปจากบูธง่ายๆ โดยมีสายตาของจิราภามองส่ง
“อ้าว ตาณ! รีบไปไหนล่ะ เดี๋ยวสิ”
ก้องภพรีบเงยหน้าจากของฝากที่กำลังชื่นชมไปเรียกไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างสูงปราดเปรียวที่เดินลับหายไปท่ามกลางฝูงคนทำให้ต้องส่ายหน้าเบาๆ
“มีอะไรอีกล่ะ” จิราภาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วถาม อยากรู้ว่าก้องภพจะรั้งตาณไว้ทำไม
“ก็ยังไม่ได้ถามเลยว่าหมู่นี้ป้าอยู่บ้านหรือเปล่าจะได้นัดไปหา อือ…เอาไว้โทรไปถามก็ได้มั้ง”
จิราภาส่ายหน้าให้กับอาการลังเลของน้องชาย หางตาที่มองเห็นพนักงานสาวๆ ของตัวเองทำตาปรอยมองตามตาณทำให้อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกระแอมในลำคอ ซึ่งก็ได้ผล หลายคนยิ้มเขินก่อนจะหันกลับไปสนใจงานของตัวเอง เว้นก็แต่ญาดา เลขาฯ ประจำตัวซึ่งมาช่วยขายหนังสือในงานนี้ที่ขยับกระแซะเข้ามาทำเสียงเสียดาย
“มาแป๊บเดียวเองนะคะ เสียดายจัง”
“แค่แป๊บเดียวก็ทำสาวๆ แถวนี้เลิกมองลูกค้ากับหนังสือแล้ว ไปๆ ตรงนั้นน่ะ ลูกค้าจะถามอะไรหรือเปล่า ไปดูหน่อยสิ” จิราภาขยับหน้าบุ้ยใบ้ไปที่หน้าบูธ
ญาดาหัวเราะเบาๆ แก้เขินแต่ก็รีบไปทำงานตามคำสั่งโดยดี ถึงอย่างนั้นพอมีพนักงานบางคนขยับมากระซิบถามว่าชายหนุ่มท่าทางร่าเริงยิ้มง่ายเป็นใคร ก็อมยิ้มตอบได้ทันทีไม่มีเคอะเขิน
“ขวัญใจของที่สำนักพิมพ์”
แหม…ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวคมสัน ท่าทางร่าเริงขี้เล่นจะไม่เป็นขวัญใจของคนที่ได้พบได้รู้จักได้อย่างไรกันเล่า
“ทำงานที่สำนักพิมพ์เหรอคะ ทำไมตอนปฐมนิเทศไม่เห็น” พนักงานชั่วคราวที่สำนักพิมพ์รับมาช่วยในงานสัปดาห์หนังสือโดยเฉพาะเอ่ยน้ำเสียงเสียดายพลางนึกในใจ
…ไปสมัครเป็นพนักงานประจำที่สำนักพิมพ์ดีไหม เผื่อจะได้พบอีก…
“ไม่หรอก แต่เป็นคนคุ้นเคยที่ขาดไม่ได้เลยล่ะ” ญาดาตอบแค่นั้นแล้วหันไปสนใจขายของ ปล่อยให้สาวๆ กระซิบกระซาบกันเองอย่างติดใจและยังนึกเสียดายโดยไม่คิดขยายความอะไรมากไปกว่านั้นแม้แต่นิดเดียว
หนังสือเล่มใหม่เอี่ยมที่เพิ่งซื้อมาถูกพิศมองจากลตางค์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนบุบสลาย รอยยิ้มโล่งใจเผยบนสองข้างแก้มโดยเฉพาะในยามที่เธอไล้ปลายนิ้วลงไปบนนามปากกาที่อยู่บนปกหนังสือ
‘แววบุหลัน’
“นี่ยัยตางค์ พอได้แล้ว” มีนาที่มองท่าทางของเพื่อนอยู่นานอดไม่ได้ที่จะเอ็ดเบาๆ เพราะรู้สึกผิดที่ผิดทางแทนเพื่อนที่มานั่งสำรวจหนังสือของสำนักพิมพ์อื่นอย่างทะนุถนอมข้างเวทีกิจกรรมของอีกสำนักพิมพ์หนึ่งซึ่งกำลังจะมีงานเปิดตัวหนังสือชุดใหม่ และหนึ่งในนั้นคือหนังสือที่เพื่อนของเธอเขียนเสียด้วย
ใช่แล้ว…จากนี้ไปลตางค์เพื่อนของเธอคือหนึ่งในบรรดานักเขียนบนเส้นทางสายวรรณกรรมอย่างที่ฝันเอาไว้
มีนารู้อยู่หรอกว่าลตางค์ชื่นชอบแววบุหลันนักหนา และคงกำลังกลัวว่าหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของนักเขียนคนโปรดจะเป็นรอยตั้งแต่วันแรกที่ได้มาครอบครอง แต่การแสดงท่าทางชื่นชมนักเขียนต่างสังกัดจนเกือบจะออกนอกหน้าอยู่แบบนี้ ก็นึกห่วงว่าเพื่อนจะโดนผู้ใหญ่ของสำนักพิมพ์มองไม่ดีนัก
ลตางค์ยอมเก็บหนังสือลงถุงโดยดีอย่างเบามือ ก่อนจะกดปลายนิ้วคลึงหัวตาที่รู้สึกล้าหน่อยๆ หวังจะคลายกล้ามเนื้อ
“เป็นอะไรอีกล่ะ” มีนาถาม
“เพ่งสายตาจนล้าแล้วน่ะสิ มีน…เอาแว่นคืนมาเถอะน่า” ลตางค์ขอร้องเพื่อน
นิสัยรักการอ่านของลตางค์ทำให้เธอกลายเป็นคนใช้สายตาค่อนข้างหนัก กระทั่งได้ของแถมมาเป็นอาการสายตาสั้นปาเข้าไปสามร้อยกว่า แต่วันนี้ใบหน้าของเธอกลับเกลี้ยงเกลาไม่มีแว่นตาเหมือนที่เคย เพราะมีนายึดไปตั้งแต่ก้าวเข้ามาในศูนย์ประชุมแห่งนี้
“ไม่ได้ จะขึ้นเวทีไม่ใช่เหรอ ใส่แว่นไปได้ยังไง หมดสวยกันพอดี บอกให้หัดใส่คอนแทกเลนส์ก็ไม่เชื่อ” มีนาเสียงแข็ง ไม่มีทางปล่อยให้เพื่อนขึ้นไปเป็นยัยแว่นกลางเวทีแน่
“ปวดตานะมีน มองหน้าใครก็ไม่ชัด” ลตางค์บ่นอุบ วันนี้นอกจากเธอจะมางานสัปดาห์หนังสือตามประสาคนรักตัวอักษรแล้ว ยังมาเพื่อร่วมกิจกรรมของทางสำนักพิมพ์ในฐานะนักเขียนอีกด้วย
“ขนาดมองหน้าใครไม่ชัดยังอุตส่าห์แอบหนีไปซื้อหนังสือของแววบุหลันคนเดียวได้นะ” มีนาประชด นึกหมั่นไส้เพื่อนไปพร้อมกัน ทั้งที่เธอบอกแล้วว่ารอให้เสร็จงานก่อนค่อยไปซื้อหนังสือที่อยากได้ด้วยกัน แต่ลตางค์ก็ยังแอบไปซื้อเองจนได้อยู่ดี
ยัยตางค์…ถ้าไม่ใช่เรื่องหนังสือก็หัวอ่อนดีอยู่หรอก
“มีน…ขอแว่นคืนเถอะนะ แค่ต้องขึ้นเวทีก็ตื่นเต้นจะตายแล้วรู้ไหม มองโน่นมองนี่ไม่ชัดเดี๋ยวไปทำขายหน้าบนนั้นจะทำยังไง”
“ไม่หรอกน่า ไม่เห็นเนี่ยดีแล้ว จะได้ตื่นเต้นน้อยลงไงล่ะ”
“เดี๋ยวก็ได้พูดผิดๆ ถูกๆ กันพอดี” ลตางค์บ่นอู้กับตัวเอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานของสำนักพิมพ์ที่ขยับเข้ามาใกล้ทำให้มีนายื่นมือไปรวบสมบัติของเพื่อนมาถือไว้
“ได้เวลาแล้วมั้ง จะไปนั่งดูอยู่หน้าเวทีนะ” พูดจบมีนาก็ลุกไปอย่างที่บอกรวดเร็ว ไม่รอฟังเพื่อนตอบรับหรือปฏิเสธ ลตางค์เลยทำได้แต่มองตามแม้จะเห็นเพียงโครงร่างที่ไม่ค่อยชัดนัก
“พิธีกรกำลังจะขึ้นเวทีแล้ว นักเขียนพร้อมนะคะ” เจ้าหน้าที่ของสำนักพิมพ์ให้สัญญาณ
ลตางค์ส่งยิ้มพลางพยักหน้าไวๆ ก่อนจะลุกเดินไปสมทบกับหญิงสาววัยเดียวกันอีกสี่คนที่เธอได้มีโอกาสรู้จักแล้วเมื่อสักครู่ในฐานะนักเขียนเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยมากนัก คลองจักษุที่พร่ามัวทำให้เธอต้องเพ่งสายตาจนแทบกลายเป็นขมวดคิ้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ตาเจ็บ?”
ท่าทางประหลาดของลตางค์สะดุดตาน้ำหวาน…เจ้าหน้าที่ประสานงานที่รับหน้าที่ดูแลนักเขียนที่จะขึ้นเวทีทำกิจกรรม
“เปล่าค่ะ พอดีตางค์สายตาสั้น…” ลตางค์บอกเสียงอ่อยในตอนท้าย
“อ๋อ…ใส่คอนแทกแล้วเคืองเหรอคะ เอาน้ำตาเทียมไหม” น้ำหวานเสนออย่างมีน้ำใจ
“ตางค์ไม่ได้ใส่คอนแทกหรอกค่ะ” ลตางค์ตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก นึกในใจว่าน้ำหวานอาจจะกำลังประหลาดใจที่ได้เห็นคนสายตาสั้นแต่ไม่มีแว่นตา แถมยังไม่ใส่คอนแทกเลนส์อีก
“อือ…ลืมแว่นตาเหรอคะ มองเห็นหรือเปล่า”
“เห็นค่ะ เพียงแต่มัวหน่อย เห็นหน้าใครไม่ค่อยชัดนักเท่านั้นเอง แต่รับรองว่าทำกิจกรรมบนเวทีได้แน่ๆ ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณหวาน” ลตางค์หัวเราะเบาๆ พยายามให้กำลังใจตัวเองไปพร้อมกันด้วย
“สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับเพื่อนๆ นักอ่านและสื่อมวลชนทุกท่าน…” พิธีกรสาวบนเวทีเริ่มดำเนินรายการ ทำให้นักเขียนทั้งหมดต้องเตรียมตัว คนแรกที่ถูกขานชื่อซึ่งไม่ใช่ลตางค์ก้าวนำขึ้นไปก่อนพร้อมรอยยิ้ม
“ทางนี้ค่ะ บันไดสองขั้นนะคะ”
ลตางค์ยิ้มเขินเมื่อได้ยินน้ำหวานกระซิบพลางยื่นมือแตะท่อนแขนช่วยนำส่งไปจนถึงข้างเวทีราวกับเธอเป็นเด็กเล็กๆ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าความคิดของเพื่อนตัวดีจะเข้าท่า แต่หูก็คอยฟังเสียงจากพิธีกร กระทั่งได้ยินชื่อนามปากกาของตัวเอง จึงก้าวขึ้นไปโดยมีมือของน้ำหวานส่งไปเท่าที่พอจะทำได้
เสียงปรบมือรับทำให้ลตางค์ใจสั่นแต่ก็พยายามกลบเกลื่อนความตื่นเต้นด้วยรอยยิ้ม แนะนำตัวเองตามคำถามนำที่ถูกส่งมาจากพิธีกร และตอบข้อซักถามอื่นๆ อย่างตั้งใจ ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด
ถุงหนังสือในมือที่เริ่มมากขึ้นทำให้ตาณหัวเราะกับตัวเองเบาๆ พลางนึกชั่งใจว่าน่าจะกลับบ้านเสียก่อนที่จะหมดทั้งเงินและแรงหิ้วหนังสือ
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะซื้อให้น้อยที่สุด แต่เอาเข้าจริงพอได้เดินชมงานเขาก็อดไม่ได้ตามประสาคนรักการอ่านที่เสพตัวหนังสือเหมือนสูดอากาศหายใจ
โทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องรีบเลื่อนมือไปแตะปุ่มรับที่สายสมอลล์ทอล์กซึ่งต่อไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มาแนบหู
“ครับแม่” ตาณตอบรับไปก่อนที่คนโทรเข้าจะได้เริ่มพูดเสียด้วยซ้ำ
“เรียบร้อยหรือยังตาณ จะกลับบ้านหรือยังลูก”
“ถ้าแม่หมายถึงเงินในกระเป๋าตาณล่ะก็ หมดเรียบร้อยแล้ว ได้หนังสือมาหลายเล่มเลย กลับไปตาณจะขอเบิกนะแม่”
“ไหนบอกว่าคุมอยู่ไง ทำไมหมดตัวได้ล่ะ” เสียงแม่หัวเราะเบาๆ แว่วมาตามสาย
“นั่นสิ ตาณว่าคุมอยู่แล้วเชียว ตบะแตกจนได้ เอาเป็นว่าตาณมาทำงานให้แม่…แม่ก็รับเป็นเจ้ามือให้ตาณหน่อยเถอะนะ เดี๋ยวตาณจะรีบกลับไปเบิกเลย” ชายหนุ่มเหมาเอาดื้อๆ โมเมเสร็จสรรพให้มารดาเป็นนายทุน
“จะมาเอากี่โมงล่ะ เย็นนี้แม่ต้องไปงานเลี้ยงนะ จะกลับมาทันหรือเปล่า แล้วหนังสือที่บอกว่าไปรับให้น่ะ แม่จะได้เห็นวันนี้ไหมเนี่ย”
“โห ถ้าแม่บอกว่าให้ตังค์นะ ตาณกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย อีกครึ่งชั่วโมงถึง ขอกระท้อนลอยแก้วเย็นๆ ถ้วยหนึ่งด้วยนะแม่ แก้ร้อน”
“สั่งเชียวนะ ได้จ้า แม่จะคอย”
ปลายสายที่ตัดไปแล้วทำให้ตาณยิ้มอยู่คนเดียว ครอบครัวที่เหลือแค่เขากับแม่สองคนทำให้ตาณค่อนข้างสนิทกับท่าน สำหรับตาณแล้ว แม่คือทุกอย่างในโลก ซึ่งเขาก็รู้ว่าในสายตาและหัวใจแม่ เขาคือที่สุดของความรักเช่นกัน
“นักเขียนในดวงใจที่เป็นต้นแบบคือคุณแววบุหลันค่ะ”
ชื่อนามปากกาที่ได้ยินจากเวทีกิจกรรมที่ตัวเองกำลังจะเดินเลียบผ่านไปหยุดสองเท้าของตาณเอาไว้ ใบหน้าคมสันเบือนไปมองเวที รอยยิ้มบางๆ ระบายบนใบหน้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินว่า ‘แววบุหลัน’ คือต้นแบบในดวงใจของนักเขียนรุ่นใหม่ และสำหรับเขาแล้ว แม้ไม่คิดยึดอาชีพนักเขียน แต่ ‘แววบุหลัน’ เป็นนามปากกาที่ไพเราะที่สุด ทุกครั้งที่ได้ยินการพูดถึงอย่างชื่นชม เขาจึงอดปลื้มใจไปด้วยไม่ได้เสมอ
ดวงตายาวรีทอดมองหญิงสาวตัวเล็กบางที่กำลังตอบพิธีกรถึงความประทับใจที่เธอมีต่อ ‘แววบุหลัน’ อย่างสนใจ
“ภาษาในงานเขียนของคุณแววบุหลันกระทบหัวใจและแสดงให้เห็นถึงความรัก ไม่ว่าจะเป็นรักอย่างหนุ่มสาว รักอย่างคนในครอบครัว หรือกระทั่งรักชาติบ้านเมือง พอได้อ่านก็จะรู้สึกเหมือนหัวใจได้รับการกล่อมเกลาปลอบโยน จนรู้สึกว่านิยายไม่ใช่แค่เรื่องประโลมโลก แต่ยังปลอบประโลมหัวใจได้ด้วย ก็เลยอยากจะเป็นนักเขียนให้ได้บ้างน่ะค่ะ”
คำตอบที่เปล่งด้วยน้ำเสียงสดใสที่ได้ยินทำให้ตาณนึกเสียดาย
…น่าอัดเสียงกลับบ้านไปฝากแม่…
ความรู้สึกของหญิงสาวบนเวทีที่มีต่อ ‘แววบุหลัน’ ทำให้ตาณพิศมองใบหน้าของเธออย่างจริงจัง รู้สึกคุ้นตาจนเผลอขมวดคิ้ว แต่ครู่เดียวเท่านั้นดวงตาก็เป็นประกายเพราะจำได้
…ผู้หญิงตัวเล็กที่เขาเดินชนนี่นา…ท่าทางทั้งรักทั้งห่วงหนังสือที่ตกพื้นของเธอยังชัดเจนในความทรงจำ
เป็นนักเขียนเสียด้วย มิน่าล่ะ รักหนังสือนักหนา
จากที่ตั้งใจจะกลับบ้านเสียที สุดท้ายก็กลายเป็นว่าตาณขยับไปยืนพิงเสาต้นใหญ่ ฟังการสัมภาษณ์นักเขียนหน้าใหม่ที่ชื่อลตางค์ตั้งแต่ต้นจนจบไปเสียอย่างนั้นเอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 มี.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.