ดูเหมือนเฉินจินเซิ่งจะอารมณ์ดียิ่งกว่าเก่า จึงหัวเราะน่ารังเกียจมากกว่าเดิม เขาถามนางว่า “สาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าหุบเขาไร้นามของเมืองผิงเหยาอยู่ที่ใด”
ดวงตาหมิงจีทอประกายวูบ “ท่านจะไปที่นั่นทำไมหรือ”
“หาสหาย”
หมิงจีมองประเมินเขาขึ้นลง ก่อนชี้ไปยังทางแยกซึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ “ทางนั้น” เฉินจินเซิ่งมองไปที่ถนนสายนั้น แล้วหันกลับมามองหมิงจีอีกครั้ง หมิงจีหันหน้าหนี เขาเพียงยิ้มจางๆ ก่อนจูงม้าเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
หมิงจีที่อยู่ด้านหลังมองตามแผ่นหลังของเขาไปด้วยสายตาใคร่รู้
เฉิงตั๋วเดินไปย้อนคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเด็กสาวไปด้วย ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ล้วนก่อกำเนิดสรรพสิ่ง นางอายุยังน้อยแต่มีความรู้ความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร ระหว่างทางเขาถามผู้คนมาหลายคนแล้ว ได้ความว่าหุบเขาไร้นามอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองผิงเหยา เช่นนั้นนางชี้บอกให้เขามาทางนี้ด้วยเจตนาใดกัน
ขณะที่คิดพลันได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งถอนหายใจ เสียงนั้นดังออกมาจากใต้หลังคามุงกระเบื้องข้างทาง “ฟ้าครึ้มถนนลื่น พายุหิมะทำให้เดินทางลำบากเสียจริง”
เฉิงตั๋วมองไป แล้วก็พบคนสวมชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันไดหิน สวมงอบใบใหญ่ ที่ข้างบันไดมีไม้คานหาบท่อนหนึ่งวางพาดไว้ มองจากการแต่งกายแล้วเหมือนจะเป็นคนตัดไม้ เพียงแต่ขอบงอบถูกกดลงต่ำมาก ทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เขาคล้ายกำลังนั่งพักเท้า แต่กลับไม่มีสิ่งของสัมภาระใด ทั้งในวันที่อากาศเช่นนี้ก็ไม่ควรมานั่งพักผ่อนอยู่ตรงนี้อีกด้วย
เฉิงตั๋วมีความสามารถล้ำลึกในการอ่านผู้คนมาโดยตลอด แต่กลับคาดเดาถึงความเป็นมาของคนตัดไม้ผู้นี้ไม่ได้ เขาพลันรู้สึกว่าตลอดเส้นทางได้พบเจอแต่เรื่องประหลาด จึงลอบระมัดระวังมากขึ้น และใช้คำพูดหยั่งเชิงอีกฝ่าย “เรื่องนั้นก็ไม่แน่ พายุหิมะไม่อาจขัดขวางผู้ที่มีกิจให้ทำได้ กระทั่งเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกก็ยังมารออยู่บนถนน”
คนตัดไม้ได้ยินเช่นนี้ก็ถอดงอบออกแล้วเงยหน้าขึ้น มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้ม เขาเคาะงอบกับบันไดหินเพื่อกำจัดหิมะ พร้อมยิ้มเอ่ย “คำพูดของท่านนับว่าเอ่ยได้ถูกต้อง ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะไปที่ใดหรือ” คนผู้นี้ดูอ่อนเยาว์มาก ในความหล่อเหลาสุภาพแฝงความสง่างาม ดูจากบุคลิกไม่คล้ายเป็นชาวบ้านทั่วไป แต่เครื่องแต่งกายบนร่างก็ดูเข้ากับเขา ประหนึ่งเขาเป็นแค่คนตัดไม้จริงๆ
เฉิงตั๋วมองไปข้างหน้า สถานที่แห่งนี้อยู่สุดปลายทางแล้ว มองต่อไปไม่พบเห็นร่องรอยผู้คนอีก จึงพลันยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าจะเดินผิดทางเสียแล้ว”
“เดินผิดทาง? สถานที่เล็กๆ ซึ่งเดินไปได้ทั่วภายในวันเดียวเช่นนี้ ท่านยังเดินผิดทางได้อีกหรือ” เขาพูดอย่างนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงลุ่มลึกประหนึ่งกระแสธารที่ไหลเอื่อย
เฉิงตั๋วเองก็ไม่คิดมาก เขารู้แก่ใจว่าคนผู้นี้ต้องมีที่มาที่ไป จึงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อน้องชายเอ่ยเช่นนี้ หากติดตามเจ้าไปก็คงไม่ผิดแล้ว”
คนตัดไม้ได้ฟังก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนปัดเศษหิมะบนร่างออก สวมงอบอีกครั้ง หยิบไม้คานหาบขึ้นแล้วออกเดิน เฉิงตั๋วจูงม้าเดินตามเขา คนตัดไม้เอ่ยปากถาม “พี่ชายมาจากที่ใดหรือ ดูแล้วไม่คล้ายเป็นคนในหมู่บ้านเล็กๆ”
“สายตาน้องชายนับว่าไม่เลว ข้ามาจากเมืองหลวง คิดอยากมาทำการค้าบางอย่าง เพียงแต่เมื่อสองวันก่อนดูเหมือนว่าที่ชายแดนทางเหนือของเยี่ยนโจวจะมีสงครามอีกแล้ว ดังนั้นเลยได้แต่เดินตามทางไปเรื่อยๆ ดูว่าที่ใดพอจะสามารถค้าขายได้บ้าง”
“ในเวลาเช่นนี้ยังกล้าขึ้นเหนือมาทำการค้า พี่ชายช่างขวัญกล้านัก เมืองหลวงไม่ดีหรือ เหตุใดจึงต้องมาลำบากที่นี่ในสภาพอากาศเช่นนี้ด้วย”
“ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก พยายามหาเงินตอนนี้ให้มาก วันหน้าจะได้สบายขึ้นหน่อย” เฉิงตั๋วตอบคำส่งๆ
คนตัดไม้หัวเราะเหอะๆ “เงินทองมีคำว่ามากพอที่ใดกัน หากตอนนี้ท่านไม่ทำตัวสบายๆ ไว้ วันหน้าก็สบายไม่ไหวเช่นกัน”
เฉิงตั๋วเองก็หัวเราะเหอะๆ “ตอนนี้ข้าไม่ทำตัวสบายๆ อย่างไรหรือ”
คนตัดไม้ตอบอย่างไม่คิดมาก “รีบเร่งเดินทางในวันหิมะตกหนักสบายนักหรือ กำไรงามไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะได้มา ผ่อนคลายสักหน่อยยังดีกว่า”
“น้องชายพูดจาตรงไปตรงมานัก”
คนตัดไม้เอ่ย “แต่ก่อนข้าเองก็เคยทำการค้าเล็กๆ ไม่เหมือนพี่ชายที่ทำการค้าใหญ่หรอก”