คนตัดไม้ฟังเฉิงตั๋วเลียนแบบคำพูดตน ก็รู้ว่าอีกฝ่ายหยอกเย้าที่ตนใช้คำพูดดึงดูด แต่ขณะพูดใบหน้าเขายังคงแสดงความเป็นห่วงอย่างไร้พิรุธ ยามนี้จึงได้แต่อมยิ้มมอง ไม่พูดจา
ภิกษุชรายิ้มจนบนใบหน้าเป็นร่องลึก เคราสีขาวขยับไหวไปตามคำพูด “วันหิมะตกหนักไม่มีอาหารเพาะปลูกให้เก็บกิน อาตมาเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อหาของกินเล็กน้อย ยืมบ้านหลังนี้หลบพายุหิมะชั่วคราว” ที่ด้านข้างภิกษุชรามีถุงผ้าขนาดไม่ใหญ่บรรจุสิ่งของอยู่ครึ่งถุง คล้ายจะเป็นอาหารจริงๆ
เฉิงตั๋วถามต่อ “ผู้อาวุโสพักอยู่ที่ใดหรือ”
ภิกษุชราเอ่ยตอบ “เป็นเพียงภิกษุสันโดษในวัดบนภูเขาเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่พิเศษอันใด” เอ่ยจบก็ก้มหน้าลงจัดการเชือกรองเท้า ก่อนพูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อประสกทั้งสองมาเยือนที่นี่ กองฟืนพวกนี้ก็ไม่ต้องเผาไหม้โดยเสียเปล่าแล้ว พวกท่านอยู่อบอุ่นร่างกายไปเถิด อาตมาขอตัวก่อนแล้ว” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ
คนตัดไม้ลุกตาม ช่วยภิกษุชราพาดถุงผ้าขึ้นบ่า เอ่ยปากว่า “บ้านข้าอยู่ห่างไปไม่ไกล หาก…”
“ไม่จำเป็น!” สีหน้าภิกษุชราอบอุ่น ทว่าน้ำเสียงกลับเด็ดขาดยิ่ง คนตัดไม้จึงไม่พูดอะไรอีก เพียงกล่าวเรียบๆ ว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”
เฉิงตั๋วนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ขยับ มองภิกษุชรารูปนั้นเดินจากไปช้าๆ
รอจนเงาร่างของภิกษุชราออกจากประตูไป ทั้งสองคนก็หันมามองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมองอีกฝ่ายอย่างล่วงรู้ ภายในดวงตามีแววกระจ่างชัด ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาไม่ได้พูดอะไรต่อกัน ในที่สุดคนตัดไม้ก็เป็นฝ่ายเปิดปากก่อน “ท่านยังจะตามข้าไปหรือไม่”
เฉิงตั๋วเชิดคางขึ้นน้อยๆ ในแววตาเบื้องลึกมองไม่ออกว่าเป็นรอยยิ้มหรือโทสะ “ในเมื่อตามมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่มีปัญหาหากจะตามต่อไป”
คนตัดไม้จ้องมองเขาอยู่สักพัก ก่อนพูดว่า “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
เมื่อก้าวออกจากประตูก็เห็นผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล เพียงชั่วพริบตาเฉิงตั๋วพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง สถานที่แห่งนี้รอบด้านเปิดโล่ง จากฝีเท้าของภิกษุชรา หากเดินบนพื้นหิมะเช่นนี้ จะเดินลับไปจนมองไม่เห็นในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร เขาก้าวเท้าเดินไปถึงถนนหลัก กวาดตามองไปรอบๆ ทว่ายังคงไม่พบร่องรอย
“เจ้า…” เฉิงตั๋วหันหน้ากลับมา คิดจะพูดกับคนตัดไม้
ทว่าคนตัดไม้กลับก้มหน้า เอ่ยขึ้นว่า “ท่านลองดูบนพื้น” ถนนทั้งหน้าและหลังต่างคลุมด้วยหิมะหนาชั้น บนถนนทิศตะวันออกที่เดินผ่านมามีเพียงรอยเท้าของพวกเขาสองคนและกีบเท้าม้าของเฉิงตั๋วเท่านั้น รอบด้านไม่พบร่องรอยผู้อื่นอีก ทั้งสองคนต่างเงียบลง
ต้องรู้ว่าต่อให้กำลังภายในของคนผู้หนึ่งจะสูงส่งยิ่งกว่านี้ ก็ไม่มีทางทะยานหายไปโดยไร้ร่องรอยในทุ่งโล่งกว้างได้ ทว่ายามนี้รอบด้านกลับไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย เมื่อครู่เฉิงตั๋วลอบประเมินภิกษุชรารูปนั้นอยู่นาน ดูจากอากัปกิริยาของอีกฝ่ายแล้วไม่เหมือนผู้เก็บงำความสามารถ แต่เป็นชายชราธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ
เฉิงตั๋วมองคนตัดไม้ ครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายยังคงอดถามไม่ได้ “เจ้าว่านี่เป็นเรื่องประหลาดอันใดกัน”
คนตัดไม้ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาด “ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ใดที่มีความสามารถระดับนี้ เมื่อครู่ดูเขาก็ไม่คล้ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์”
เดิมทีทั้งสองคนในใจต่างนิ่งสงบ ทว่ายามนี้ก้นบึ้งหัวใจกลับตกตะลึง ย้อนคิดถึงถ้อยคำของภิกษุชราอย่างละเอียดก็ยังคาดเดาไม่ถูก เมื่อกลับไปสำรวจภายในบ้านอีกครั้งก็ยังคงรู้สึกไม่เข้าใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่คนตัดไม้ถึงเอ่ยขึ้น “บางทีอาจเป็นยอดฝีมือสักคนที่เราบังเอิญพบเจอ และเพียงแค่ล้อเล่นกับพวกเราก็ได้”
เฉิงตั๋วคิดๆ แล้วพูดว่า “เป็นเช่นนั้นกระมัง ข้าว่าเขาก็ดูไม่ได้มีเจตนาร้าย”
คนตัดไม้ไม่พูดอะไรอีก หยิบไม้คานหาบขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันตกต่อไป ส่วนเฉิงตั๋วยังคงจูงม้าเดินตาม ไม่พูดอะไรตลอดเส้นทาง กระทั่งเดินไปประมาณครึ่งชั่วยาม คนตัดไม้ก็เลี้ยวไปทางใต้ ทั้งสองคนเดินลดเลี้ยวไปตามทางภูเขา
โปรดติดตามตอนต่อไป