บริเวณมุมร้านมีโต๊ะเก่าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยน้ำชาเป็นด่างดวงตัวหนึ่ง มันช่วยขับเน้นให้ชุดของเด็กสาวที่นั่งอยู่ดูสดใสมากขึ้น นางก้มหน้าฟังบทสนทนาสัพเพเหระเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทางที่บุรุษอ่อนเยาว์ผู้นั้นรีบเร่งควบม้าผ่านไป แล้วหันหน้ากลับมาเอ่ยกับสหายร่วมโต๊ะผู้สวมชุดเนื้อหยาบสีน้ำเงิน “พี่ชาย องค์หญิงที่เสด็จมาแต่งงานผู้นั้น ได้ยินมาว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
บุรุษชุดน้ำเงินแม้จะสวมผ้าเนื้อหยาบ ทว่าหน้าตาหล่อเหลาสุภาพ ดูอายุเพียงยี่สิบห้ายี่สิบหกปี แต่แววตากลับมีความสงบเยือกเย็นที่ไม่เข้ากับใบหน้า แม้เขาจะแต่งกายคล้ายชาวนา แต่หน้าตาบุคลิกเสมือนบัณฑิต เขาไม่ได้สนใจเด็กสาว เพียงโยนกำก้านซือเฉ่า* ในมือลงบนโต๊ะ
“พี่ชาย ข้าอยากเห็นว่าหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าหน้าตาเป็นเช่นไร” เด็กสาวชุดแดงยิ้มสดใส
บุรุษสวมชุดเนื้อหยาบได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าถลึงตาใส่นาง ทว่าน้ำเสียงยังคงราบเรียบ “อย่าเหลวไหล” เขายื่นมือออกไปรวบก้านซือเฉ่าขึ้นมา หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน
เด็กสาวมองดูกำก้านซือเฉ่าเหล่านั้น “ท่านกำลังเสี่ยงทายหรือ”
“อืม”
“เสี่ยงทายเรื่องใด”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เอาแต่มองฝุ่นข้างทางที่ตกลงมาอย่างอ้อยอิ่ง เขาทอดสายตามองออกไปนอกชายคา ชาวบ้านยังคงดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติ แม้จะมีชีวิตชีวา แต่กลับเป็นเพียงภาพทิวทัศน์ที่นิ่งค้างของฟ้าดินอันกว้างใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับภาพสายลมสารทกลางทะเลทรายบนภาพวาดน้ำหมึก นับว่างดงาม ทว่างดงามไม่ผันแปรนับพันปี
“พี่ชาย!” เด็กสาวชุดแดงร้องเรียก บนดวงหน้างดงามสะท้อนความไม่พอใจต่ออาการใจลอยของอีกฝ่าย
บุรุษสวมชุดเนื้อหยาบลุกขึ้นยืน เดินไปที่ประตูร้านน้ำชา เงยหน้ามองก้อนเมฆสีเทาบนผืนฟ้า ก่อนริมฝีปากจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง เขาเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ไม่มีอะไร เจ้าสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้นหน่อยเถอะ ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว”
ค่ายทหารของแม่ทัพจ้าวสุ่นอยู่นอกเยี่ยนโจวไปสิบห้าหลี่ ทหารสามหมื่นนายที่ประจำการอยู่ที่นั่นล้วนเป็นผู้ชำนาญการรบที่สยบศัตรูไปทั่วมาหลายปี ยามนี้ภายในกระโจมของจ้าวสุ่นมีคนสองคนซึ่งต่างมีสภาพเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หนึ่งในนั้นยืนค่อนเข้าไปด้านในกระโจม รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ใบหน้าคมสัน ร่างกายที่สูงตระหง่านราวกับหอคอยทำให้กระโจมดูคับแคบลง เขาโค้งคำนับไปทางตั่ง เอ่ยว่า “กระหม่อมเพิ่งไปสืบข่าวมาจากในกองทัพ บรรดาแม่ทัพสายตรงของพวกเราต่างรับรู้แล้ว ทว่าไม่กล้ารบกวนแม่ทัพอาวุโสสกุลจ้าวกับสกุลหลี่”
ผู้ที่นั่งอยู่บนตั่งขยับตัวลุกขึ้นยืน คบเพลิงที่ส่องมาจากข้างหลังขับเน้นองคาพยพหล่อเหลา ชุดเข้ารูปสีดำทำให้รูปร่างของเขายิ่งดูสูงเพรียวมากขึ้น คนผู้นี้สะบัดชายเสื้อเดินไปที่ปากกระโจม เลิกม่านไปด้านข้าง มองความเคลื่อนไหวของภายนอก เอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ตาเฒ่าเหล่านี้ล้วนมากประสบการณ์ กระทำการสุขุมหนักแน่น ข้าเองก็ไม่สะดวกจะไปบังคับเต็มที่ โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เป็นการกระทำลับหลังราชสำนัก”
บุรุษร่างสูงใหญ่คล้ายลังเลอยู่บ้าง “พวกเราจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษชุดดำเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมกัน กลัวรึ”
บุรุษร่างสูงใหญ่ส่ายหน้า “มิได้กลัวพ่ะย่ะค่ะ! แต่ฝ่าบาทไม่ได้มีพระราชโองการ…”
บุรุษชุดดำแค่นเสียงเบา ปล่อยม่านกระโจมลงพร้อมหันกลับมา “ตอนแรกที่มีการปรึกษากันเรื่องนี้ ข้าก็คัดค้านสุดกำลังแล้ว แต่สงครามที่หนานสวีเร่งด่วน ขุนนางในราชสำนักพวกนั้นหารือกันไปหารือกันมาก็คิดวิธีการเช่นนี้ออกมา ข้าเร่งรีบเดินทางกลับเมืองหลวง แต่ตัวคนกลับถูกส่งไปแล้ว พระราชดำริของฝ่าบาทคือทรงต้องการปลอบให้พวกขนดกเหล่านั้นสงบลงก่อนสักสองวัน รอราชสำนักยื่นมือออกมาได้ค่อยจัดการพวกเขา ฝ่าบาททรงเป็นฝ่าบาท ทรงคิดคำนวณเพื่อบ้านเมือง ไม่ว่าอะไรก็ล้วนสละได้ แต่ข้ายอมไม่ได้”
บุรุษร่างสูงใหญ่ครุ่นคิด “พระราชดำริของฝ่าบาทก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล บ้านเมืองทำสงครามต่อเนื่องมาหลายปี กำลังแคว้นไม่เพียงพอ หากยังทำสงครามกับทางเหนือขึ้นมาอีก เกรงว่าจะแบกรับความเสียหายเช่นนี้ไม่ไหว”