บุรุษชุดดำส่ายหน้าน้อยๆ “เรื่องนั้นก็ต้องดูว่าจะสู้อย่างไร สู้ไม่ไหวก็จะขายน้องสาวอย่างนั้นหรือ! เช่นนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะทรงมีพระโอรสไปเพื่ออะไร หากต้องส่งเด็กสาวไปหยุดยั้งสงคราม ข้าเองก็ไม่มีหน้าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทหารทั้งสามเหล่าทัพอีกต่อไปแล้ว”
ในระหว่างที่พูดคุยกัน ม่านกระโจมก็ขยับไหว ผู้ที่เดินเข้ามาคือจ้าวสุ่นที่สวมชุดเกราะครบชุด ภายในกระโจมที่ปิดมิดชิด แสงคบเพลิงส่องใบหน้าที่ตากแดดจนดำมะเมื่อมของเขาแลดูคล้ายสำริดที่แข็งกระด้าง แต่เมื่อเขาเลิกคิ้วขึ้นก็กลับมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ เขากวาดตามองภายในกระโจม ก่อนก้มตัวค้อมคำนับให้บุรุษชุดดำ “กระหม่อมมาช้า ขอท่านอ๋องโปรดอภัย”
บุรุษชุดดำยิ้มน้อยๆ โบกมือเอ่ยว่า “ลุกขึ้น” เขาก็คือจิ้งหย่วนชินอ๋อง เฉิงตั๋วนั่นเอง
จ้าวสุ่นลุกขึ้นทันที “กระหม่อมเรียกตัวคนที่ท่านอ๋องทรงต้องการมาหมดแล้ว ล้วนกำลังรอฟังคำสั่งอยู่ที่กระโจมหลัก นอกจากนี้เจ๋อเหรินยังกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วสะบัดชายเสื้อนั่งลง ผงกศีรษะ “ให้เขาเข้ามา”
บุรุษอ่อนเยาว์ชุดเขียวผลุบเข้ามาในกระโจม คุกเข่าข้างหนึ่งคารวะ ก่อนจะกดดาบแล้วลุกขึ้นยืน
เฉิงตั๋วเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
บุรุษอ่อนเยาว์ตอบกลับเสียงนอบน้อม “กระหม่อมตรวจตราด่านทั้งเก้าแห่งตลอดชายแดนเยี่ยนโจวตามที่พระองค์ทรงสั่ง พบว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใด ระยะนี้ทหารม้าชาวหูอยู่ห่างจากแนวป้องกันไปห้าหลี่ เป็นเพราะเมื่อสองวันก่อนราชสำนักอนุมัติเรื่องการแต่งงาน พวกเขาคาดเดาว่าพวกเราไม่ต้องการทำสงครามแล้ว การป้องกันจึงหย่อนยานลง ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยของเยี่ยนโจวยังมีชาวบ้านจับจ่ายซื้อของวันปีใหม่อยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้จึงดี อย่าให้พวกเขารู้เรื่องที่ข้ามา” เฉิงตั๋วยิ้ม มือหนึ่งเคาะเบาๆ อยู่บนโต๊ะ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนร้องเรียกอย่างกะทันหัน “หยางโหย่วหลิน”
“พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษร่างสูงใหญ่ขานรับ
“ทางองค์หญิงสิบสามเตรียมการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“กระหม่อมสั่งให้เจ๋อซิวคุ้มกันกลับเมืองหลวงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ จดหมายที่เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของท่านอ๋องก็ได้ฝากองค์หญิงให้ทรงนำกลับไปถวายให้ฝ่าบาทแล้วเช่นกัน”
เฉิงตั๋วผงกศีรษะเอ่ย “อืม เฉิงจิ่นฉลาด เมื่อได้พบเสด็จพี่จะต้องอธิบายเจตนาของข้าได้อย่างดีเป็นแน่” เมื่อพูดจบก็เงยหน้ามองไป ทว่ากลับเห็นทั้งหยางโหย่วหลินและจ้าวสุ่นต่างมีสีหน้ากังวล เขาคลี่ยิ้ม เอ่ยเสียงนุ่มนวลขึ้น “ตอนที่ยังไม่ทำสงคราม เสียงถกเถียงในราชสำนักย่อมไม่หมดไม่สิ้น แต่พอทำสงคราม ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับข้าแล้ว ดังนั้นสู้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
หลังจากนั้นอีกสองวันในราตรีที่มืดมิดที่สุด หยางโหย่วหลินนำทหารอ้อมทัพหน้าของซิวถูอ๋อง ตลอดทั้งคืนทหารม้าเบา* วกอ้อมไปสองร้อยหลี่แล้วบุกเข้าโจมตีค่ายใหญ่ของซิวถูอ๋องตรงๆ ส่วนทหารของจ้าวสุ่นตีเข้าทางปีกซ้ายของทัพซิวถูอ๋อง ตัดขาดทัพทางซ้ายของซิวถูอ๋องออกจากทัพใหญ่ ไล่ต้อนอีกฝ่ายไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเยี่ยนโจว ซิวถูอ๋องไม่ทันรับมือจึงได้แต่หลบหนีขึ้นเหนืออย่างรีบร้อน ไม่อาจตั้งตัวรับศึกได้แต่แรก
ในชั่วขณะหนึ่ง เสียงกลองรบดังลั่นไปทั่วทุกสารทิศ บริเวณชายแดนพันหลี่ของเยี่ยนโจวกับอวิ๋นโจว ทัพทหารทั้งเหนือใต้ต่างเคลื่อนไหวตามเสียงกลอง ดูท่าปีใหม่ปีนี้คงไม่อาจผ่านไปอย่างสุขสงบ และในยามนี้แดนหูกลับมีหิมะตกหนักลงมาไม่หยุดนับเดือนอย่างคาดไม่ถึง คล้ายกับต้องการจะเปลี่ยนแปลงสีสันแต่เดิมของใต้หล้า