บนสันเขาที่อยู่ห่างออกไป เฉิงตั๋วขี่ม้านำอยู่ด้านหน้า ชุดเกราะเงาวับเปล่งประกายระยิบระยับยามสะท้อนกับพื้นหิมะ ด้านหลังเขาคือผู้ติดตามกับแม่ทัพจ้าวสุ่นที่ขี่ม้าตามมาตลอดทาง จ้าวสุ่นตรากตรำสู้ศึกมาตลอดทั้งคืน เพิ่งจะกลับมาถึงที่ทัพหลักช่วงรุ่งสางนี่เอง ดังนั้นทั้งคนทั้งม้าจึงล้วนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า แต่ดวงตายังคงทอประกายเจิดจ้า คอยติดตามเฉิงตั๋วเดินตรวจตรา
“อากาศที่นี่ยามจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกะทันหัน เมื่อวานกลิ้งอยู่ในพื้นหิมะทั้งคืน กีบม้าลื่นไปหมด ลำบากยากเย็นกว่าจะหาทางกลับมาได้ แต่พวกชาวหูก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีการลอบโจมตีในวันที่หิมะตกหนักเช่นนี้ ยามนั้นแต่ละคนจึงซุกตัวดื่มสุรากินเนื้ออยู่ในกระโจม ตอนที่พวกเราอยู่ห่างจากค่ายใหญ่ออกไปไม่ถึงสามสิบจั้ง พวกทหารที่ป้อมปราการถึงเพิ่งรู้สึกตัว…” เดิมทีจ้าวสุ่นเป็นบุตรชายที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ติดตามเฉิงตั๋วก่อเรื่องไปทั่วด้วยกันตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาจึงทำตัวตามสบายอย่างมาก
หูเฉิงตั๋วรับฟังการเล่าเรื่องด้วยทีท่าคึกคักเกินไปของจ้าวสุ่น สายตากลับรั้งอยู่ที่ชาวบ้านจำนวนหนึ่งบริเวณชายแดนซึ่งกำลังเดินไปตามถนนอย่างทุลักทุเล ในความรู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หัวใจเขากระตุก พลันหยุดม้าพร้อมร้องเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งที่แบกฟืนเดินอย่างไม่เร่งไม่ร้อน
“พวกเจ้าได้ยินเสียงสู้รบเมื่อคืนนี้กันหรือไม่”
“อะไรนะ” ชายหนุ่มผู้นั้นเห็นเขาสวมชุดเกราะ บุคลิกไม่สามัญ จึงถามกลับอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เรื่องที่พวกเราทำสงครามกับชาวหู พวกเจ้ารู้หรือไม่ กลัวหรือไม่” เฉิงตั๋วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ชายหนุ่มเห็นสีหน้าเขาเป็นมิตร จึงเกาผ้าโพกหัวเอ่ยตอบ “อ้อ รู้ขอรับๆ เมื่อวานถึงได้ไม่ออกมา เพราะรู้ว่าเหล่าทหารจะมาเลยซื้อเสบียงมากักตุนไว้ที่บ้าน หลายคนยังเร่งเดินทางทั้งคืนไปบ้านญาติทางใต้แล้วด้วย”
เฉิงตั๋วยังคงถามอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ไปกัน”
“พ่อของข้าขาไม่ค่อยดี นี่ไง วันนี้ข้าออกมาหาฟืนสำหรับสองวัน อีกสองวันล้วนไม่ออกจากบ้านแล้ว นายท่านขอรับ สงครามครั้งนี้จะนานแค่ไหนกัน”
“อีกไม่นานแล้ว แต่พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าทหารกำลังจะมา” เฉิงตั๋วยิ้มบาง
“ท่านตงฟางเป็นคนบอกขอรับ”
เฉิงตั๋วตวัดสายตามองจ้าวสุ่น จ้าวสุ่นเอ่ยรายงานทันที “คนผู้นั้นสกุลตงฟาง พำนักอยู่ในหุบเขาไร้นามทางตะวันตกของเมืองผิงเหยา เป็นชาวนาป่าเขาผู้หนึ่ง มักมาขายถั่วที่ปลูกเองในตลาดนัดทางด้านนี้บ่อยๆ เขาเอ่ยเรื่องสภาพอากาศ แนะนำชาวนาด้านการเพาะปลูกเป็นบางครั้ง ไม่เคยไม่แม่นยำ ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างศรัทธาเขา เรียกเขาว่าท่านตงฟาง”
สีหน้าเฉิงตั๋วเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ขณะเอ่ยอย่างไม่หนักไม่เบา “ชาวนาจะพูดเรื่องสภาพอากาศนับว่าถูกต้อง แต่หากสนใจเรื่องกิจการบ้านเมืองกองทัพนับเป็นการทำเกินหน้าที่” เอ่ยจบก็กลับตัวหันม้า มุ่งหน้าไปยังเนินเขาสูงซึ่งอยู่ตรงกับตีนเขาที่มีการต่อสู้ดุเดือดเมื่อคืน ค่ายของศัตรูที่สร้างขึ้นโดยอาศัยภูมิประเทศภูเขา ยามนี้ถูกเผาทำลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว ตรงหน้ามีหยางโหย่วหลินกำลังควบม้าลงเนินเขามา บนหลังม้าพาดของบางอย่างเอาไว้ เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้นถึงมองออกว่าเป็นสตรีชุดขาวผมยาวผู้หนึ่ง
ทันทีที่จ้าวสุ่นเห็นชัดก็หลุดหัวเราะออกมา “เจ้าไม่ได้ไล่ตามทหารแตกทัพที่เหลือของซิวถูอ๋องไปหรอกหรือ เหตุใดจึงไล่ตามจนได้สิ่งนี้มาเล่า”
หยางโหย่วหลินกระชากสตรีผู้นั้นลงจากหลังม้าด้วยมือเดียว หิ้วปกคอเสื้อชูขึ้นตรงหน้าเฉิงตั๋ว เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ตาเฒ่านั่นเจ้าเล่ห์เกินไป เอาสตรีผู้นี้มาเป็นเกราะกำบัง ส่วนตัวเองวิ่งหนีไปแล้ว ข้าไล่ตามไปห้าสิบหลี่ กระทั่งนึกเรื่องที่ท่านอ๋องทรงบอกว่าห้ามตามไปไกลจึงได้กลับมา ซิวถูอ๋องซ่อนตัวอยู่ที่ใด มิสู้ถามนางดู!”
จ้าวสุ่นหัวเราะ “ทัพทหารของซิวถูอ๋องมีแค่หกหมื่นนาย ฐานที่มั่นของเขาถูกบุกโจมตี ทหารรักษาการณ์ทั้งสี่ด้านต่างถูกจัดการหมดแล้ว ต่อให้ท่านอ๋องทรงให้เจ้าไล่ตามไปไกลได้ เจ้าก็ไม่มีทางตามทัน คราวนี้ที่จับสตรีมาคงนำมาเป็นข้อแก้ตัวกระมัง”
หยางโหย่วหลินแค่นเสียง ในตอนที่กำลังจะเปิดปากก็ถูกเฉิงตั๋วโบกมือห้ามเสียก่อน เขาก้มหน้ามองประเมินสตรีผู้นั้น นางผมยาวมาก ทว่าเส้นผมไม่ใช่สีดำขลับ ภายใต้แสงหิมะส่องกระทบคล้ายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผมส่วนหนึ่งยุ่งเหยิงบดบังใบหน้า ชุดที่สวมใส่คล้ายจะสะอาดเกินไป เนื้อผ้าเป็นถึงผ้าไหมหิมะอันล้ำค่ายิ่ง