เฉิงตั๋วกระชากผมนางให้เงยหน้าขึ้น มือหนึ่งปัดผมที่ยุ่งเหยิงบังหน้านางออก ถึงได้พบว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้อายุมากนัก ราวสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น ดูสะอาดบริสุทธิ์ คิ้วสีอ่อนจาง สีหน้าไร้ความหวาดกลัว ดูไม่ออกว่าเป็นความว่างเปล่าหรือเก็บงำล้ำลึก ขนตายาวปรกลงมาบดบังดวงตา
เขาถามเสียงเรียบ “เจ้าเป็นใคร” นางไม่เหมือนชาวหู ปลายคางของชาวหูกว้าง ไม่มีองศาน่ารื่นรมย์เช่นนาง ปีกจมูกของชาวหูหนา ไม่ได้เล็กจ้อยงดงามเฉกนาง ขนตายาวของนางราวกับแมลงปอบนยอดบัว เกาะอยู่ที่นั่นไม่ขยับไหว คล้ายไม่ได้ยินคำถามของเฉิงตั๋ว
เฉิงตั๋วปล่อยผมนาง ตะโกนเสียงดัง “อาซือไห่!” ทหารหาญชาวหูผู้หนึ่งที่แต่งกายแบบทหารทางใต้วิ่งมาอย่างรวดเร็ว เดิมอาซือไห่ผู้นี้เป็นชาวหู เมื่อสี่ปีก่อนถูกเฉิงตั๋วสยบ ปกติมักจะเดินสืบข่าวอยู่บริเวณทางเหนือ เรื่องการจัดทัพป้องกัน รวมไปถึงกิจวัตรประจำวันของบรรดาเชื้อพระวงศ์เขาล้วนรู้ ช่วงสองปีมานี้ถึงแม้ตัวเฉิงตั๋วจะไม่ได้อยู่ที่ชายแดนทางเหนือ แต่สายลับที่จัดวางไว้ยังคงอยู่ สงครามหนนี้ถึงได้ราบรื่นถึงเพียงนี้
ทันทีที่อาซือไห่เห็นสตรีผู้นี้ก็ตกใจจนหน้าเผือดสี เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องทรงเอาตัวนางมาได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ซิวถูอ๋องโยนทิ้งเอาไว้”
“เขาโปรดปรานสตรีผู้นี้มาก ตั้งแต่ได้ตัวนางมาเมื่อสองปีก่อนก็เก็บไว้ข้างกายเสมอ นาง…นางเป็น…”
“เป็นอะไร”
“เมื่อก่อนนางเป็นทาสอุ่นเตียงของซิวถูอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ทาสของชาวหูเหมือนเป็นหมูหมากาไก่ จะเป็นหรือตายล้วนขึ้นอยู่กับเจ้านาย แต่ไหนแต่ไรมาพฤติกรรมบนเตียงอันเสื่อมทรามของซิวถูอ๋องก็ดังเข้าหูมาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ได้ยินมาว่ามีชนชั้นสูงชาวหูบางส่วน เวลาจัดงานเลี้ยงมักจะรวมตัวกันเพื่อเสพกามา เรียกได้ว่ามีความสุขเพียงลำพังมิสู้มีความสุขกันทั่วหน้า ยามนี้เมื่อมองสีหน้าเช่นนั้นของอาซือไห่ก็รู้แล้วว่านางเป็นทาสประเภทใด
“เมื่อก่อน?” เฉิงตั๋วถามกลับ
อาซือไห่ผงกศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ ช่วงหลังมานี้ถึงแม้นางจะยังอยู่ในจวนอ๋อง แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้รับความสนใจจากซิวถูอ๋องแล้ว หากจะพูดว่าเสียความโปรดปราน เขาก็ไม่เคยมอบนางให้ผู้ใด นางถูกซิวถูอ๋องเก็บเอาไว้ข้างกายตลอดเวลา”
ปลายนิ้วเฉิงตั๋วหยิบเนื้อผ้าที่อยู่บนหัวไหล่นางขึ้นมาลูบน้อยๆ ยืนยันว่าเป็นผ้าไหมหิมะจริงๆ ราคาผ้าชนิดนี้ในร้านผ้าที่เมืองหลวงหนึ่งฉื่อ* ต่อหนึ่งตำลึง แต่ผิวบริเวณคอเสื้อของนาง กระดูกไหปลาร้าที่โผล่ออกมาให้เห็นนั้นเนียนละเอียดยิ่งกว่าผ้าไหมหิมะ เขาเหลือบสายตาขึ้นมองสตรีผู้นั้น รู้สึกว่านางบอบบางเยือกเย็นเกินไป ราวกับหิมะในแดนหูที่ไม่มีวันละลาย ไม่อาจนำไปคิดเชื่อมโยงกับเรื่องมั่วโลกีย์ได้ ในตอนที่กำลังจะเปิดปากก็ได้ยินเสียงอาซือไห่พูดต่อ “นางเป็นใบ้ พูดไม่ได้ แต่คงเพราะหน้าตางดงาม ซิวถูอ๋องถึงได้ตัดใจโยนทิ้งไม่ได้มาโดยตลอดกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วเอ่ยเสียงเรียบ “งามหรือ ข้าเห็นว่าแค่ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น”
นางพลันช้อนสายตาขึ้นมองเขา เฉิงตั๋วเห็นสีหน้าของนางไม่ชัด รู้สึกเพียงขนตายาวของนางขยับน้อยๆ คล้ายปัดผ่านผิวเขาไปเบาๆ
ทุกคนได้ยินน้ำเสียงของเขาจึงมองหน้ากันไปมา สีหน้าต่างแฝงแววกรุ้มกริ่ม กับสตรี เฉิงตั๋วไม่คิดสนใจลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่แตะต้อง นอกจากนี้เป็นเพราะยุ่งกับกิจทางทหาร จึงนิยมเก็บดอกไม้มาชื่นชมตามใจชอบแล้วโยนทิ้งไป ด้วยเหตุที่เขาไม่เคยทำร้ายบุตรสาวชาวบ้าน แล้วก็ไม่มีทางเสียการใหญ่ด้วยเรื่องนี้ ดังนั้นต่อให้ถูกคนตำหนิโจมตีอย่างไร อย่างมากก็แค่ด่าว่าเขามีพฤติกรรมส่วนตัวไม่เหมาะสม
จ้าวสุ่นจึงเอ่ยเปิดทางให้เขา “งามไม่งามเป็นอีกเรื่อง แค่เรื่องที่พูดไม่ได้ก็เหมาะกับท่านอ๋องมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ เช่นนั้นข้าจะฝืนใจรับนางเอาไว้ก็แล้วกัน” เฉิงตั๋วหันไปด้านข้าง “ข้าต้องการสตรีผู้นี้ เจ๋ออี้ พานางไปทำให้สะอาดสะอ้าน” เจ๋ออี้ผู้ติดตามของเขาขานรับพร้อมกับเดินเข้ามาแบกสตรีผู้นั้นลงไป