เมื่อกลับมาถึงกระโจมใหญ่ เจ๋อเหรินก็รอพบอยู่แล้ว ทันทีที่เขาเห็นเฉิงตั๋วเดินเข้ามาก็รีบรายงาน “ผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพอาวุโสจ้าวกับแม่ทัพหยางได้โอบล้อมและกำจัดทหารทัพหน้าจำนวนหมื่นกว่านายที่จับมาได้เมื่อคืนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วเคาะโต๊ะเบาๆ “ดี”
“แม่ทัพหลี่ทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง นำทัพบุกไปทางปีกขวาของซิวถูอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เมื่อคืนตอนที่แม่ทัพอาวุโสจ้าวกับแม่ทัพหลี่เห็นป้ายคำสั่งของข้า พวกเขามีท่าทีเช่นไร”
เจ๋อเหรินหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านแม่ทัพอาวุโสจ้าวตกใจมาก บอกว่าทางราชสำนักไม่ได้มีคำสั่งให้ทำสงคราม ให้ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าผลีผลาม กระหม่อมบอกว่าท่านอ๋องทรงนำกำลังคนไปบุกโจมตีค่ายใหญ่ของซิวถูอ๋องแล้ว ท่านแม่ทัพอาวุโสจ้าวฟังแล้วมีท่าทีค่อนข้างอัดอั้นใจ พูดว่า ‘ท่านอ๋องห้าพระองค์นี้ทรงกระชากผืนฟ้าลงมาอีกแล้ว’ จากนั้นก็พากำลังคนออกไปเสริมทัพทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเฉิงตั๋วนึกไปถึงสีหน้าที่ ‘ค่อนข้างอัดอั้นใจ’ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นเดียวกัน
ในราตรีเดียว ค่ายใหญ่แนวหน้าทั้งหมดของเยี่ยนโจวต่างชูธงเหยี่ยวของแม่ทัพใหญ่เฉิงตั๋วขึ้นมา พายุหิมะที่เกิดขึ้นกะทันหันย้อมเมืองบริเวณชายแดนให้กลายเป็นสีขาวโพลนทั้งผืน ร่องรอยมนุษย์ยิ่งดูบางตาลง แต่ในกระโจมหลักของค่ายใหญ่เยี่ยนโจวยามนี้กลับอบอุ่นผ่อนคลาย บนโต๊ะหลักมีกระดาษ พู่กัน และน้ำหมึกกองระเกะระกะ กำแพงด้านหนึ่งแขวนแผนที่ผืนค่อนข้างใหญ่เอาไว้ บนแผนที่ทำสัญลักษณ์ของทหารรักษาชายแดนตั้งแต่เยี่ยนโจวถึงอวิ๋นโจวรวมสองร้อยหลี่ อีกด้านมีเตาเหล็กทรงเหลี่ยมขนาดยาวห้าฉื่อวางไว้อันหนึ่ง ภายในนั้นถ่านกำลังเผาไหม้จนแดงก่ำ บนเตาเหล็กย่างแพะอยู่ตัวหนึ่ง
กรรมวิธีปรุงแพะตัวนี้เริ่มจากใช้มีดพกชำแหละ จากนั้นทาน้ำมันงากับสุราปรุงรสหมักเอาไว้หนึ่งคืนเพื่อให้รสชาติซึมเข้าไป เวลาย่างก็ต้องใช้ไฟพอดี ห้ามให้มีควัน ก่อนจะทาน้ำมันเคลือบบางๆ ไปชั้นหนึ่ง หลังย่างจนร้อนแล้วค่อยทาซีอิ๊วลงไปอีกชั้น พลิกหมุนและทาเครื่องปรุงลงไปซ้ำๆ ในตอนที่ใกล้จะสุกให้โรยผงยี่หร่าลงไปเล็กน้อย ยามนั้นกลิ่นจะหอมอบอวลไปไกลสิบหลี่ บนตัวแพะมีน้ำมันซึมออกมาดังชี่ๆ หอมน่ากิน กรอบนอกนุ่มในพอดี
สามคนที่นั่งล้อมวงอยู่พับแขนเสื้อยกจานขึ้นมารอนานแล้ว เฉิงตั๋วหั่นเนื้อแพะอย่างตั้งใจบนจานทองแดง พอหั่นได้เป็นชิ้นเล็กๆ ก็ส่งเข้าปาก เอ่ยเนิบช้า “ข้าให้พวกเจ้าพัก วันนี้เลี้ยงอาหารหนึ่งมื้อ หลังกินเสร็จก็รีบขึ้นม้าออกเดินทางไปกันได้แล้ว”
จ้าวสุ่นยกจานหันไปทางหยางโหย่วหลิน “ท่านอ๋องทรงอยากจะเลี้ยงพวกเราที่ใดกัน ทรงอยากเสวยเนื้อแพะเองชัดๆ”
เฉิงตั๋วไม่สนใจ เอ่ยต่อ “หลังหลี่เต๋อขุยบุกโจมตีปีกขวาของซิวถูอ๋องอย่างฟ้าแลบก็มุ่งหน้าไปทางเหนือหนึ่งร้อยหลี่ ตอนนี้กำลังซ่อนตัวพักผ่อนอยู่ ส่วนท่านแม่ทัพอาวุโสจ้าว หลังร่วมโจมตีทัพหน้าของซิวถูอ๋องเสร็จก็มุ่งหน้าไปทางซ้ายสามสิบหลี่ รอรับคำสั่งที่นั่น วันนี้พวกเจ้าพาทหารไปคนละห้าพันนาย แยกเป็นซ้ายขวา นำกำมะถันกับชนวนไฟไปด้วย พอเข้าใกล้ค่ายของซิวถูอ๋องก็วางเพลิงเสีย แม่ทัพอาวุโสจ้าวกับแม่ทัพหลี่จะใช้เปลวเพลิงแทนตัวสัญญาณ พวกเจ้าพยายามไปรวมตัวกับพวกเขา กดดันให้ศัตรูล่าถอยมาทางข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางโหย่วหลินก็วางจานลง ถามว่า “กองทัพของท่านอ๋องมีทหารเพียงแปดพันนาย ซ้ำยังโยกย้ายมากะทันหัน หากไล่ต้อนมาทางนี้ทั้งหมด จะทรงรับมือไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “วางใจได้ ถึงเวลานั้นชาวหูจะคิดแต่เรื่องหนีไปทางเหนือ ไฉนเลยจะกล้าคิดลงใต้ พวกเจ้าสี่คนรวมกำลังกัน ที่สำคัญที่สุดคือการตัดทางหนีของซิวถูอ๋องให้ข้า”
จ้าวสุ่นเอ่ยเนิบๆ “ถึงจะพูดว่าหนึ่งแสน แต่ส่วนหนึ่งแยกตัวตั้งทัพรออยู่ที่ละแวกอวิ๋นโจว ทหารคนสนิทของซิวถูอ๋องก็แค่เจ็ดแปดหมื่นนาย ทหารกองซ้ายถูกจัดการไปแล้วสามหมื่น หลังเตลิดหนีตลอดทั้งวันก็เหลือแค่ทหารที่เหนื่อยล้าจำนวนเพียงสองสามหมื่นนายแล้ว อาศัยกำลังทหารของพวกเรา การจะจัดการให้หมดน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก”