เฉิงตั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อทำสงครามแล้วก็อย่าทำเล่นๆ การต่อสู้เต็มกำลังเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้น บาดเจ็บสิบนิ้วมิสู้ตัดขาดหนึ่งนิ้ว บัดนี้ไม่อาจมอบโอกาสรอดให้ซิวถูอ๋องเด็ดขาด ดังนั้นสงครามครั้งนี้ต้องกำจัดทหารทั้งหมด!”
หยางโหย่วหลินและจ้าวสุ่นต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
เฉิงตั๋วเงยหน้ามองพวกเขา ใช้มีดพกจิ้มเนื้อแพะชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก ยิ้มน้อยๆ พูดว่า “แต่เจ้าพูดถูก เนื้อแพะของทางตะวันตกเฉียงเหนืออร่อยจริงๆ แพะทางใต้ทั้งแก่ทั้งเหนียว ผู้คนก็ล้วนไม่เท่าไร มีแค่สตรีที่พอจะน่ามองหน่อย”
จ้าวสุ่นหลุดขำดังพรืด เอ่ยหยอกเย้า “จริงหรือ” ใบหน้าหันไปทางหยางโหย่วหลิน หยางโหย่วหลินถูกมองก็รู้สึกแปลกๆ ชั่วพริบตาต่อมาถึงเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย เขาพลันปักมีดสั้นลงบนโต๊ะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งทันควัน “เจ้ามองข้าทำไมกัน ข้าไม่รู้เสียหน่อย! ข้าอยู่ทางใต้เอาแต่ทำสงครามเท่านั้น จะไปสนแพะสนสตรีอันใดกัน”
เฉิงตั๋วกับจ้าวสุ่นหัวเราะร่วน
ตามแผนการเช่นนี้ของเฉิงตั๋ว ซิวถูอ๋องก็เป็นเหมือนปลาบนเขียง แค่รอดูว่าพ่อครัวจะลงมีดอย่างไรแล้ว
ราตรีนี้พายุหิมะถาโถมซัดกระหน่ำ กลิ่นอายอ้างว้างของฤดูหนาวอันหนาวจัดลอยอวล ทว่าบนผืนดินหลายร้อยหลี่แห่งนี้กลับไม่ได้เงียบเหงา ทหารชาวหูนับหมื่นนายมุ่งหน้าขึ้นเหนือจากทางใต้ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างยามโฉ่ว* กับยามอิ๋น** นั้นเอง สองฝั่งของค่ายใหญ่พลันเกิดเพลิงไหม้ ธนูเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงเข้ามา สองวันนี้ชาวหูที่หลบหนีมาไม่เคยคิดเลยว่ายังต้องหนีต่อไปอีก ขณะมุ่งออกมาได้ไม่กี่หลี่ ด้านหน้าก็มีทหารสองกองทัพต่อสู้กันชุลมุนวุ่นวาย ไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ พอหันกลับวิ่งหนีต่อไปอีก ก็รู้สึกว่าทุกทิศทุกทางล้วนเป็นทหารฝ่ายศัตรู ชั่วขณะหนึ่งเสียงร้องหาบิดามารดา เสียงอาวุธปะทะกันผสมปนเป สายลมพัดแรงจนเปลวเพลิงผสานกลายเป็นผืนเดียว ทัพใหญ่ของเฉิงตั๋วอาศัยยามราตรีเข่นฆ่าล้างบางทหารทัพศัตรูจนหมดสิ้น
เฉิงตั๋วนำทัพฆ่าฟันไปตลอดเส้นทาง ตั้งแต่กลางดึกจนถึงรุ่งสาง รุ่งสางจนถึงพลบค่ำ ทหารบุกทะลวงไปถึงด้านหลังของทัพจ้าวสุ่นแล้วถึงหยุด เขาสะบัดแส้ควบม้าขึ้นไปมองสำรวจจากที่สูง หิมะกองทับถมหนาชั้นขึ้นเรื่อยๆ กีบม้าจมลงไปบนพื้นหิมะครึ่งหนึ่งแล้ว เฉิงตั๋ววางแผนการในใจสั้นๆ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังกระโจมที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว เขาถอดเกราะออก ใช้หิมะเช็ดคราบเลือดบนมือและใบหน้า เจ๋อเหรินควบม้าเข้ามาหา หลังลงจากหลังม้ามาแสดงความเคารพตามแบบทหารให้เฉิงตั๋วเสร็จก็รายงาน “ท่านอ๋อง ทหารฝ่ายศัตรูตกตายและได้รับบาดเจ็บไปเกินครึ่งแล้ว ทหารที่เหลือต่างยอมศิโรราบ แม่ทัพจำนวนหนึ่งกำลังไล่ตามพวกที่หนีไป สิ่งที่ต้องทำต่อไป ขอท่านอ๋องทรงออกคำสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วมองหิมะที่ยังตกลงมาไม่หยุด ก่อนเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “ให้ทหารผลัดเวรยามกันพักผ่อน ถ่ายทอดคำสั่งไปให้จ้าวติ้งอี ให้หลี่เต๋อขุยถอยทัพกลับมาทางฝั่งซ้ายและขวาของข้า ส่วนจ้าวติ้งอีไปทางตะวันตกห้าสิบหลี่เพื่อชดเชยทหารรักษาการณ์ที่อวิ๋นโจว หยางโหย่วหลินกับจ้าวสุ่นรวมทัพกันแล้วถอนทัพกลับมาที่ด้านหน้าสามสิบหลี่ สิ่งของของพวกทหารชาวเหนือที่มีประโยชน์ให้เอาไปด้วย ที่ไม่มีประโยชน์ให้เผาทิ้งเสีย บรรดาทหารที่ยอมแพ้ให้ปล่อยพวกเขาไปทางเหนือทั้งหมด ข้าไม่ได้มีเสบียงมากพอจะเลี้ยงดูพวกขนดกเหล่านั้น ถ้าดวงแข็งก็กลับกันไปเองเถอะ”
เจ๋อเหรินขานรับแล้วถอยออกไป
เมื่อคำสั่งนี้ถูกถ่ายทอดลงมา แม่ทัพทุกฝ่ายล้วนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะบัดนี้หิมะยังคงตกหนักไม่หยุด ซ้ำตอนนี้พวกเขายังบุกเข้ามาในถิ่นศัตรูหลายร้อยหลี่ เสบียงไม่อาจตามมาทัน ตอนนี้สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือชุดฤดูหนาว ดังนั้นทหารชาวหูจึงถูกเปลื้องชุดออก ส่วนตัวคนถูกไล่กลับไปในแดนหิมะ เรียกอย่างสวยงามว่าปล่อยกลับ เดิมทีมีคนยอมแพ้เยอะเกินไป ทำให้เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย ซ้ำยังสิ้นเปลืองเสบียง แต่หากสังหารก็ทำลายชื่อเสียงเกินไป ทว่าถ้าปล่อยกลับไปจริงๆ จะมิใช่เป็นการผิดต่อตัวเองหรอกหรือ ดังนั้นคำสั่งนี้ของเฉิงตั๋วจึงนับได้ว่าตรงใจและอำมหิต การปล่อยเชลยทหารจำนวนสองหมื่นนายให้ไปแข็งตายกลางแดนหิมะทั้งเป็น หากผู้ใดกลับไปได้จริงๆ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทนต่ออากาศหนาวได้ดีที่สุดในใต้หล้าเป็นแน่
หลายวันต่อมาหิมะยังคงไม่หยุดตก เฉิงตั๋วค่อยๆ ถอยทัพลงใต้ และตั้งค่ายไว้ในจุดสำคัญ รายงานศึกจากฝ่ายต่างๆ ทยอยส่งมาอย่างต่อเนื่อง ทหารที่เหลือของทัพซิวถูอ๋องที่จะไปเรียกกำลังเสริมจากอวิ๋นโจวถูกจ้าวติ้งอีสกัดขวางเอาไว้ ส่วนทหารของแม่ทัพหลี่ปะทะกับทหารม้ากองหลักของประมุขข่านหูตี๋ และตัวซิวถูอ๋องเองก็ถูกทัพทหารม้าของหยางโหย่วหลินไล่ตามไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน