ตามหลักนี้แล้ว สตรีของเฉิงตั๋วก็ควรขาวสะอาดไร้ตำหนิจึงจะถูก แต่เขากลับไม่คิดเช่นนี้ สิ่งของที่สะอาดบนโลกใบนี้มีไม่มาก สิ่งของที่อัปลักษณ์ก็มีไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเวลาเดินแล้วเท้าเปื้อนโคลน สามารถเช็ดออกได้ ฆ่าคนมือเปื้อนเลือด สามารถล้างออกได้ จากการแบ่งประเภทเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย ถ้าอย่างนั้นระหว่างเขากับสตรีจะเกี่ยวข้องอันใดกันเล่า ดังนั้นนิสัยคลั่งไคล้ความสะอาดของเขาจึงจำกัดเฉพาะกับตัวเองเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม วัฒนธรรมประเพณี ส่วนสตรีที่วางลงบนเตียงเขา สามารถบุบสลายมีมลทิน สามารถมีฐานะต้อยต่ำ สามารถหน้าตาไม่งดงาม แค่ไม่อาจตัวสกปรกมอมแมมเท่านั้น
เจ๋ออี้ได้ยินเขาถามก็รีบตอบกลับ “กระหม่อมส่งต่อให้บ่าวหญิงอาวุโสที่หลังค่ายจัดการไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ชุดเป็นของเก่าเท่านั้น” เมื่อเฉิงตั๋วแสดงสัญญาณมือ เจ๋ออี้ก็ปลดเชือกที่พันธนาการสตรีผู้นั้นออก นางล้มฟุบลงกับพื้นทันที เฉิงตั๋วตวัดแขน คว้านางขึ้นมาพาดไว้บนบ่า เดินตรงไปยังกระโจมใหญ่ของตน เหล่าสตรีคนอื่นๆ ที่มุมคอกม้ามองตามทิศทางที่เขาเดินไป เนื้อตัวสั่นเทา
ทันทีที่เข้าไปในกระโจม เฉิงตั๋วก็วางนางลง สตรีผู้นี้ถูกพันธนาการไว้กับเสาไม้เป็นเวลานาน จะนั่งจะนอนล้วนไม่สะดวก ดังนั้นทันทีที่ถูกปล่อยลงพื้นก็รู้สึกเพียงมือไม้เหน็บชาแข้งขาอ่อนแรง ร่างกายเอนโน้มไปข้างหน้า เฉิงตั๋วคว้านางเอาไว้ก่อนแล้วพาไปบนเตียง ทันทีที่เขาสะบัดมือ สายรัดชุดของนางก็ลอยออกไปกลางอากาศ เสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวตัวบางที่มีรอยด่างดวงและหลวมอยู่บ้างแล้วคลายตัวออก ร่วงหล่นลงไปบนพื้นทันที
ในเมื่อไม่ใช่ของขวัญที่ห่ออย่างประณีตงดงาม เขาเองก็ไม่เสียเวลากับการปลดอาภรณ์ของนาง สตรีผู้นี้ผอมมาก ทว่าไม่ได้ผอมจนเห็นกระดูก ยามนี้นางนั่งอยู่บนขอบเตียงเงียบๆ คราก่อนอาซือไห่บอกว่านางเป็นของเล่นของซิวถูอ๋อง ทันทีที่คิดถึงสถานะเช่นนี้ เส้นประสาทบางเส้นของบุรุษก็ถูกกระตุ้นได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ความประทับใจที่เขามีต่อนางถูกย้อมไปด้วยสีสันอันแพรวพราว อย่างไรก็ตามสีสันเหล่านี้ไม่เข้ากับตัวตนของนางอย่างมาก กระทั่งเขาเปลื้องผ้านางก็ยังคงไม่รู้สึกว่านางเป็นสตรีเช่นนั้น
เฉิงตั๋วมองประเมินนางลวกๆ ก่อนขยับมือถอดเสื้อผ้าตนออก กล้ามเนื้อตั้งแต่บ่าถึงเอวของเขากำยำยืดหยุ่น กล้ามเนื้อท่อนแขนปรากฏเส้นสายขึ้นมาตามการก้มตัวลงไปถอดรองเท้า ในตอนที่มือของเขาแตะถูกผิวกายนาง หัวไหล่นางหดเข้าหากันน้อยๆ สัมผัสยามโอบกอดนางราวกับกอดผ้าไหมชั้นเลิศพับหนึ่ง เย็นเยียบและประณีต ร่างนางสั่นน้อยๆ ในอากาศอันหนาวยะเยือก ทำให้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เรือนผมดกนุ่ม ถึงแม้จะขาดประกายไปเพราะต้องฝุ่นลม แต่ในยามที่กอบกุมอยู่ในมือกลับนุ่มลื่นละเอียดอ่อน
เฉิงตั๋วรู้สึกโดยไร้ที่มาว่าดวงตาของนางเปรียบดั่งถ้อยคำอันไร้ที่สิ้นสุด ยามนี้นางกำลังมองตรงมาที่เขาอย่างเงียบสงบดุจผืนสมุทรกลางดึก เขาอยากเห็นอะไรบางอย่างจากในนั้น ทว่ากลับมีแค่การมองตอบอันล้ำลึก เฉิงตั๋วบีบหัวไหล่นางด้วยความตั้งใจหยอกเย้าเล็กๆ ปลายนิ้วลูบไล้ผิวกาย แม้นางจะผอม แต่ทรวดทรงกลับประณีตงดงาม สัมผัสทางกายค่อยๆ แทนที่ความคิดจะสืบเสาะเข้าไปในดวงตานาง เขาผลักนางล้มลงไปบนเตียง แล้วทาบทับตามลงไปอย่างหยาบโลน
นางกอดเอวเขาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง ในพริบตาเฉิงตั๋วถูกมืออันเย็นเฉียบคู่นั้นแช่แข็งความคิดทุกอย่าง เขายันกายขึ้นคว้ามือนางทันที แต่นางกลับไม่ได้มองเขา ดวงตาคู่งามกะพริบไหว มองไปยังความว่างเปล่า ณ ยอดกระโจม
เดิมทีเฉิงตั๋วไม่มีความรู้สึกเห็นใจแม้แต่น้อยอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อถูกการกระทำของนางขัดขวางเล็กๆ ก็ราวกับถูกกระตุ้นอารมณ์มากขึ้นกว่าเก่า เขากุมมือส่งมอบความอบอุ่นให้นาง ก่อนจะลูบไล้ไปบนผิวกายเย็นเฉียบ โอบทั้งร่างของนางเข้ามาในอ้อมกอด
เจ๋อเหรินมาถึงข้างนอกกระโจมแล้วได้เจอกับเจ๋ออี้เข้าพอดี เมื่อเจ๋ออี้ส่ายหน้าน้อยๆ ก็เข้าใจทันใด หลังใคร่ครวญถึงรายงานที่อยู่ในมือก็รู้สึกว่าอย่าเพิ่งไปขัดความสนุกของท่านอ๋องจะดีกว่า กฎของเฉิงตั๋วคือสตรีไม่เคยอยู่ค้างคืนในกระโจมของเขา ดังนั้นในเวลาเช่นนี้เจ๋อเหรินและเจ๋ออี้มักจะยืนรอ ป้องกันไม่ให้ยามเขาเรียกหาคนจะไม่มีใครคอยอยู่รับใช้
ทว่าสถานการณ์ในวันนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป เสียงลมหายใจหอบกระสันแผ่วเบาดังมาจากภายใน เรื่องนี้พวกเขาเข้าใจได้เพราะหญิงผู้นั้นเป็นใบ้ แต่ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว ท่านอ๋องกลับยังไม่ไล่คนออกมา พวกเขาจึงอดรู้สึกเห็นใจหญิงสาวผู้นั้นขึ้นมาไม่ได้