ในตอนที่เจ๋ออี้ยกอาหารเข้ามาก็เห็นเฉิงตั๋วนั่งมองสตรีผู้นั้นอยู่ด้านข้าง แววตาของเขาไม่เย็นชา ถึงขั้นไม่เข้มงวด ทั้งยังแฝงไปด้วยแววค้นหา เจ๋ออี้วางอาหารลงตรงหน้าเขา เฉิงตั๋วสั่ง “เจ้าออกไปเถอะ ไม่ต้องคอยปรนนิบัติแล้ว”
ภายในกระโจมอวลไปด้วยกลิ่นอาหาร เฉิงตั๋วหยิบมีดพกขึ้นมาหั่นกิน
เป็นทหารมาหลายปี เขาคุ้นชินกับการใช้มีดมากกว่าตะเกียบเสียแล้ว สตรีนางนั้นเงยหน้ามองคราหนึ่ง ไม่ได้มองเขา แต่มองอาหารของเขา ก่อนนางจะเคลื่อนสายตากลับไปที่กระถางไฟ คล้ายกำลังตั้งใจผิงไฟ เฉิงตั๋วพูดขึ้นว่า “มานี่”
นางช้อนสายตาคาดหวังขึ้นมองเขา ทว่ายังคงไม่ขยับ คล้ายฟังไม่เข้าใจ
เฉิงตั๋วพอจะรู้ภาษาหูอยู่บ้าง แต่คร้านพูด อีกอย่างหนึ่งคือเดิมสตรีผู้นี้ก็ถูกซิวถูอ๋องพาตัวมา สรุปแล้วเป็นคนที่ใดก็ยังไม่ชัดเจน ผู้ใดจะรู้ว่านางฟังภาษาอะไรเข้าใจ เขาก้มหน้าหั่นอาหาร ก่อนเงยหน้ามองนางอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ดวงตาของนางใสกระจ่างนิ่งสงบ เฉิงตั๋วเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้กวักมือเรียกนาง
นางลุกขึ้นช้าๆ เดินไปที่ข้างกายเขา ก้มหน้าต่ำ เฉิงตั๋วทำท่าให้นางนั่งลง นางก็นั่งลงบนพื้น เขาเลื่อนจานไปไว้ตรงหน้านาง นางหยิบขนมเปี๊ยะที่เขาหั่นเป็นชิ้นเล็กขึ้นมาเม้มปากกิน กินอย่างละเมียดละไมยิ่ง แม้จะเป็นการเคี้ยวกลืนอย่างเชื่องช้า แต่เหมือนกับนางต้องใช้แรงกายมากอย่างไรอย่างนั้น เฉิงตั๋วยกนมแพะที่ดื่มเหลือมาวางไว้ที่ขอบโต๊ะ นางมองเขาอีกครั้ง คล้ายต้องการยืนยันว่านั่นเป็นของที่ให้นาง จากนั้นถึงได้ยกแก้วขึ้น นางยังคงเม้มปากดื่มคำเล็กๆ เป็นนานกว่าจะกินขนมเปี๊ยะชิ้นนั้นลงไปจนหมด
ในตอนนั้นเองเสียงกลองดังขึ้นสี่ครั้ง ยามรุ่งสางใกล้มาเยือน รอบด้านปราศจากเสียงลมพัด ไร้สรรพสำเนียง ค่ำคืนข้ามปีที่เงียบเหงาเช่นนี้ เฉิงตั๋วไม่รู้ว่าตนผ่านมากี่ครั้งแล้ว เดิมทีวันนี้ควรเป็นวันที่ได้เฉลิมฉลอง แต่เขากลับขังตัวเองอยู่กับกองเอกสาร ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น เขานึกถึงว่าเหตุใดตนจึงได้เรียกหานาง เขาไม่ได้อยากได้นางเท่าไรนัก หรือพูดได้ว่าเขาเพียงแค่อยากมองนางเท่านั้น
ความเงียบของนางมีเสน่ห์ประการหนึ่งที่ชวนให้คนสบายใจ ประณีตละเอียดอ่อน ล้ำลึก และลึกลับ มนุษย์เราในตอนที่อายุน้อย เวลาพบเจอปัญหามักจะรีบร้อนขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อโตขึ้นเรื่อยๆ กลับยิ่งพูดไม่ออก สตรีผู้นี้เป็นคนใบ้ นางพูดไม่ได้ เฉิงตั๋วเองก็ไม่มีความต้องการจะพูด นางไม่ได้สิ้นหวังยอมแพ้ เฉิงตั๋วเองก็เช่นกัน
เฉิงตั๋วโยนผ้าสะอาดผืนหนึ่งไปให้ นางเหลือบมองเขาคราหนึ่ง ยืนยันถึงวัตถุประสงค์ เมื่อเห็นว่าในดวงตาของเขาเพิ่มความเย็นชาขึ้นมา จึงหยิบมาเช็ดมือและปากให้สะอาดเงียบๆ รอจนเช็ดเสร็จ เฉิงตั๋วก็ช้อนตัวนางขึ้นมาโยนไว้บนเตียง นางใช้สายตามองสำรวจเขาอีกครั้ง บุรุษทุกคนล้วนมีสีหน้าแบบหนึ่งซึ่งนางคุ้นเคยดียิ่ง แต่เฉิงตั๋วกลับไม่มีในยามนี้
เฉิงตั๋วรู้สึกว่านางคล้ายต้องการมองทะลุจิตใจเขา พลันรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เขาสะบัดแขนเสื้อดับตะเกียง ถอดเสื้อนอกออก ขึ้นเตียงไปนอนกอดนาง ภายในกระโจมมืดลง มีเพียงแสงจากกระถางไฟบนพื้นที่ยังส่องสว่างอยู่น้อยๆ เสียงลมหายใจของคนในอ้อมกอดสม่ำเสมอ หลับไปอย่างช้าๆ แต่เฉิงตั๋วยังคงมองไปที่ยอดกระโจม นอนไม่หลับ