ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด คนในอ้อมแขนตัวสั่นเทาขึ้นมาน้อยๆ ลมหายใจสับสน เฉิงตั๋วฟังออกว่านางกำลังร้องไห้ เขานอนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับ รับฟังเงียบๆ นางค่อยๆ ขยับตัวแรงขึ้นเหมือนปลาที่ดิ้นรนอยู่ในแห ไม่รู้ว่าเป็นฝันร้ายที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด เฉิงตั๋วพลิกตัวกดนางอยู่ใต้ร่าง จับใบหน้านางเขย่าไปมา พูดเสียงเบาว่า “ตื่น!”
นางลืมตาโดยพลัน ในตาไม่มีหยาดน้ำตา ทว่ามีความเคียดแค้นอาฆาตที่ทำให้แม้แต่เฉิงตั๋วยังสะท้าน แต่ยังไม่ทันได้สืบเสาะลึกลงไป นางก็กัดลงบนหัวไหล่เขาอย่างแรง เฉิงตั๋วกระชากผมนางโดยสัญชาตญาณ รู้สึกได้ว่านางออกแรงมหาศาล คล้ายต้องการกัดลึกเข้าไปถึงกระดูก เดิมทีเขาสามารถฟาดนางให้สลบหรือผลักออกไปได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่ได้ทำเช่นนั้นอย่างอธิบายไม่ได้ มือที่กระชากผมนางถึงกับค่อยๆ คลายออก เปลี่ยนไปกดลงบนศีรษะดั่งปลอบประโลม เฉิงตั๋วถึงขั้นได้ยินตัวเองเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่เป็นไรแล้วๆ”
แรงกัดบนหัวไหล่ค่อยๆ ผ่อนลง นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาที่กระจ่างบริสุทธิ์ตลอดมามองเขาอย่างนิ่งอึ้ง เวลานั้นสีสันอื่นใดราวเลือนหายไป เหลือเพียงดวงตาที่ใสกระจ่าง เฉิงตั๋วมองแววตาที่เดิมอาฆาตแค้นซึ่งยามนี้เหลือเพียงความอ่อนแอ เขาก้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากนาง บดขยี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น กระทั่งได้รับการตอบสนองอย่างอ่อนแรง นางสัมผัสได้ถึงเจตนาปลอบประโลมของเขา จึงสะอึกสะอื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ
เฉิงตั๋วปลดชุดตัวในบนร่างนางออก ดึงมือนางให้มาโอบอยู่รอบคอตน รับเอาน้ำตาและอาการสั่นสะท้านของนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทั้งหมด เฉิงตั๋วจุมพิตและอ่อนโยนกับสตรีน้อยครั้ง หนนี้กลับเป็นข้อยกเว้น
เขาคิดแค่อยากปลอบประโลมนาง ทว่ากลับตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าที่แท้แล้วตนก็เป็นฝ่ายได้รับการปลอบประโลมเช่นกัน
ตอนที่เฉิงตั๋วตื่นขึ้นมา แสงอาทิตย์สว่างจ้าได้สาดส่องเข้ามาในกระโจมแล้ว เขารู้ว่าสายแล้ว ทว่ายังคงนอนนิ่งไม่ขยับ สตรีผู้นั้นคล้ายฝังตัวอยู่ในผ้าห่ม หลับสนิทยังไม่ตื่น พอเขาขยับน้อยๆ นางก็ซุกศีรษะเข้าไปใต้ผ้าห่ม เกียจคร้านราวกับลูกแมวตัวน้อย เฉิงตั๋วมองนางเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า
เขายืนอยู่หน้าโต๊ะ กวาดตามองรายงานกองทัพที่อ่านไปเมื่อคืนคราหนึ่ง เฉิงตั๋วยกมือขึ้นเกล้ามวยผม เดินตรงออกไปนอกกระโจมโดยไม่หันมามองนางอีก แสงแดดสาดใส่ร่าง รู้สึกเพียงว่าความคิดปลอดโปร่ง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกสองเฮือก เรียกเจ๋ออี้มาแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “พานางออกไป” จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปทันทีโดยไม่รอคำขานรับจากเจ๋ออี้
ภายในค่ายยังคงเป็นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง ทว่ายามเขาเดินมาถึงฝั่งตะวันตกก็เห็นว่าในที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมวงอยู่ เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว ในตอนที่กำลังจะเดินเข้าไป พลันได้ยินเสียงตงฟางพูดว่า “แม้หมิงจีจะซุกซน แต่ก็เป็นนิสัยแบบเด็กๆ แม่ทัพหยางมีอะไรก็ขอให้พูดจากันดีๆ เหตุใดจึงต้องโมโหด้วย”
เฉิงตั๋วเข้าใจทันที หมิงจีต้องหาเรื่องหยางโหย่วหลินอีกแล้วเป็นแน่
ยามหมิงจีเพิ่งมาถึงค่ายทหาร ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็รู้สึกแปลกใหม่ ทหารทั้งค่ายจู่ๆ ได้พบเด็กสาวน่ารักเช่นนี้มองสำรวจไปทั่วทุกวันก็รู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน ทั้งหมิงจียังเป็นคนคุยเก่ง ขอแค่ไม่ไปหาเรื่องนาง นางก็จะรับมืออย่างใจกว้าง อีกทั้งเฉิงตั๋วยังมีคำสั่งลงมา ผู้ใดจะกล้าหาเรื่องนาง ดังนั้นนางกับคนอื่นๆ ในค่ายแห่งนี้จึงนับได้ว่าสนิทสนมกันดี เว้นเพียงหยางโหย่วหลินผู้เดียวเท่านั้น นับตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางกับหยางโหย่วหลินก็ทะเลาะกันไม่เลิกรา
หยางโหย่วหลินไม่เคยเถียงชนะผู้อื่น แม้แต่กับจ้าวสุ่นยังไม่เคยชนะ นับประสาอะไรกับเด็กสาวซุกซนผู้หนึ่ง ดูท่าวันนี้เขาจะทนไม่ไหวและไม่อยากทนอีกต่อไป เสียงหยางโหย่วหลินดังขึ้น “น้องสาวเจ้าปากพล่อย นางเป็นสตรี ข้าไม่พูดกับนาง! แต่ในเมื่อเจ้าเป็นพี่ชายนาง ข้าก็จะเล่นงานเจ้าแทน”
เฉิงตั๋วฟังออกว่าเขาโมโหแล้วจริงๆ ทว่าไม่ได้เดินไปข้างหน้า แต่ไปยืนหลบอยู่ข้างๆ มุมกระโจมแล้วมองผ่านช่องว่างระหว่างกลุ่มคนไป
หยางโหย่วหลินประจันหน้ากับตงฟาง ส่วนหมิงจีหลบอยู่ด้านหลังพี่ชาย ใบหน้ามีรอยแย้มยิ้ม