จ้าวสุ่นเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้าง “ก็แค่คำพูดไม่กี่ประโยค เหตุใดเจ้าต้องโมโหถึงเพียงนี้ด้วย ท่านตงฟางกับแม่นางหมิงจีเป็นแขกสูงศักดิ์ของท่านอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็นับได้ว่าเป็นเจ้าบ้านครึ่งตัว วันนี้เป็นวันปีใหม่ ผู้อื่นเห็นเข้าจะขบขันเอาได้”
ตงฟางได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ตระหนักได้ว่าภายในกองทัพให้ความสำคัญกับพื้นเพความเป็นมาและความสามารถมากที่สุด ตนเพิ่งมาถึง ทว่ากลับได้รับการต้อนรับอย่างทรงเกียรติจากเฉิงตั๋ว บรรดาทหารอาจจะไม่ยอมรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยางโหย่วหลินกับจ้าวสุ่น ทั้งสองคนเพียงแค่เห็นแก่เฉิงตั๋วเท่านั้น ซ้ำเมื่อนึกถึงว่าคนสกุลหยางผู้นี้มีนิสัยป่าเถื่อนตรงไปตรงมา หากยอมขออภัยแล้วจบไปทั้งอย่างนี้ เขาก็อาจไม่พอใจ ดังนั้นตนจึงจำเป็นต้องกระตุ้นเขาสักเล็กน้อย
ตงฟางเอ่ยช้าๆ “หมิงจี เจ้าว่าอะไรแม่ทัพหยางหรือ”
“ข้าไม่ได้ว่าอะไร เพียงพูด…พูดว่าชื่อของพี่หยาง ไม่ใช่ว่าในชะตาแปดอักษร ขาดธาตุไม้ จำเป็นต้องเสริมเข้าไปหรอกหรือ แต่เขามักมีสีหน้าอึมครึม จึงคิดว่าคงถูกโหย่วธาตุทองกดข่มเอาไว้” คนรอบข้างได้ยินเสียงนางไพเราะดังกังวาน ทว่ากลับพูดถึงแต่หลักการ ชั่วขณะหนึ่งพลันรู้สึกขบขัน ทว่าไม่กล้าหัวเราะ มีแค่จ้าวสุ่นที่หลุดขำออกมาเบาๆ
ตงฟางยังคงพูดอย่างสุภาพไม่เร่งร้อน “เจ้าผิดแล้ว โหย่วจัดอยู่ในธาตุทองอิน จะกดข่มไม้จำนวนมากถึงเพียงนี้ได้ที่ใดกัน ทองก่อเกิดน้ำได้ สีดำแทนธาตุน้ำ ที่สีหน้าเขาอึมครึมเป็นเพราะธาตุน้ำมากเกินไป”
หมิงจีรีบแสดงท่าทีกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
สีหน้าหยางโหย่วหลินยามนี้ไม่ได้ดูอึมครึมสักนิดเดียว แต่ประหนึ่งว่าหากดวงตาของเขาสามารถพ่นไฟออกมาได้ พี่น้องสกุลตงฟางคงลุกไหม้ไปนานแล้ว ทันใดนั้นเขายกมือขึ้นชี้ไปที่ตงฟาง “แม้ท่านอ๋องจะทรงให้เจ้าอยู่ที่นี่ได้ แต่เจ้าอย่าได้รังแกผู้อื่นเกินไปนัก!” พูดยังไม่ทันจบก็สะบัดฝ่ามือออก หมิงจีกลับไม่ได้หันหลังวิ่งหนี เพียงกระโดดถอยไปด้านหลังด้วยท่วงท่าแผ่วพลิ้ว ตอนลงพื้นก็ยังสง่างาม นางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ออกแรงมากไปแล้ว กระด้างมากเกินไป ภายหลังย่อมไม่ดี”
หยางโหย่วหลินรู้สึกว่าไหล่ซ้ายถูกตบเบาๆ เมื่อหันหน้าไปก็พบว่าตงฟางย้ายมายืนอยู่ข้างหลังตนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ไหล่ซ้ายเขาหนักอึ้ง ทว่ายังคงหันกลับไปโจมตีตงฟางต่อ กระบวนท่าตงฟางไม่สับสนวุ่นวาย สามารถหลบหลีกได้ง่ายๆ หยางโหย่วหลินเพิ่มความเร็วฝ่ามือมากขึ้น โจมตีซ้ายขวาพร้อมกัน ทว่ามักพลาดไปเพียงฉิวเฉียดเสมอ ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไม่โดนตงฟาง
ผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า เขาเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด หนนี้ตงฟางไม่หลบเลี่ยงอีกแต่กางฝ่ามือออกรับ แล้วเบี่ยงตัวหลบไปข้างหลังเล็กน้อย เริ่มแรกหยางโหย่วหลินรู้สึกเพียงหมัดนี้คล้ายชกไปบนปุยฝ้าย พลังหมัดประหนึ่งหินจมลงไปในมหาสมุทร จากนั้นก็มีกำลังส่วนเกินมากระชากเขา ถึงกับทำให้ยืนไม่มั่นคง เซไปข้างหน้าเล็กน้อยจึงหยุดยืนได้มั่นในที่สุด
เมื่อหันหน้ากลับมา ตงฟางก็พูดกับเขาเสียงดัง “หมิงจีซุกซนไร้มารยาท หลายวันมานี้ล่วงเกินท่านไปไม่น้อย เป็นเพราะข้าสั่งสอนไม่ดีพอ ขออภัยแม่ทัพหยางด้วย” เขาค้อมตัวคำนับหยางโหย่วหลินสุดตัวคราหนึ่ง หยางโหย่วหลินนิ่งอึ้ง ไม่พูดอะไร เพียงค้อมตัวตอบกลับ ก่อนจะหันหน้าเดินจากไป
จ้าวสุ่นประสานมือคารวะตงฟาง ยิ้มน้อยๆ จากนั้นเดินตามหยางโหย่วหลินไป หมิงจีก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าว คล้ายต้องการจะพูดอะไร ทว่าถูกตงฟางถลึงตาใส่ นางจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ บรรดาทหารที่รับชมอยู่รอบๆ ประหลาดใจอย่างยิ่ง ภายนอกตงฟางดูเป็นบัณฑิตสุภาพ แต่เพียงแค่ใช้กระบวนท่าเดียวกลับทำให้แม่ทัพใต้บังคับบัญชาของเฉิงตั๋วจากไปโดยไม่พูดไม่จาได้ ทุกคนส่ายหน้าพูดไม่ออก ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายตัวกันไป
ตงฟางพลันหันกลับมา กล่าวไปยังทิศที่เฉิงตั๋วอยู่ “ท่านอ๋องโปรดเสด็จออกมาสนทนากับกระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วเห็นว่าเขาพบตนแล้วจึงได้แต่เดินออกมา ทันทีที่หมิงจีเห็นเฉิงตั๋วก็เปลี่ยนไปทำตัวเรียบร้อย ยอบกายคารวะเขาอย่างว่าง่าย
เฉิงตั๋วยิ้ม “เจ้าจะเกรงใจถึงเพียงนี้ทำไมกัน การที่เจ้าไม่หยอกล้อ แต่กลับเกรงใจเช่นนี้ทำให้ข้าละอายใจขึ้นมาแล้ว”
หมิงจีหน้าแดง ยืนอยู่ข้างกายตงฟางไม่พูดจา