เฉิงตั๋วยิ้ม “ไม่มีอะไร เพียงแค่เด็กสาวอย่างเจ้าอยู่ในสถานที่อวลกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มีแผลไม่น่าดู…”
หมิงจีได้ยินคำว่า ‘เด็กสาว’ ก็นึกถึงสีหน้าเขายามได้เจอบนถนนเมืองผิงเหยาขึ้นมา นางพลันรู้สึกไม่ค่อยดี จึงรีบเอ่ยสวนทันควันโดยไม่รอให้เขาพูดจบ “หม่อมฉันไม่กลัว”
เฉิงตั๋วพูดต่อเสียงราบเรื่อย “ข้ายังพูดไม่จบ บุรุษที่นี่ส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อผ้า เปลือยกายกันทั้งนั้น” เดิมทีเขาคิดจะพูดว่า ‘เจ้าไม่ใช่แค่ไม่กลัว ซ้ำยังสนใจศึกษาค้นคว้าอีกด้วย’ แต่เมื่อถูกหมิงจีพูดแทรกจึงเพิ่มประโยคข้างต้นเข้ามา ทหารด้านข้างที่กำลังพันผ้าพันแผลผู้หนึ่งได้ยินก็หัวเราะคิกคัก หมิงจีหน้าแดงทันใด เฉิงตั๋วยังไม่ทันได้พูดประโยค ‘เจ้าไม่ใช่แค่ไม่กลัว’ ออกมาต่อ นางก็กระทืบเท้า วิ่งออกไปแล้ว
ตงฟางจัดการบาดแผลของทหารผู้นั้นเรียบร้อยแล้วถึงได้หันมากล่าวกับเฉิงตั๋ว “หมิงจีไร้กาลเทศะมากขึ้นทุกที ถึงขั้นถกเรื่องการศึกต่อหน้าท่านอ๋องแล้ว”
เฉิงตั๋วยิ้มน้อยๆ “เจ้าอย่าเอาแต่ตำหนินาง นางพูดได้ดียิ่ง”
ทั้งสองคนเดินคุยกันออกจากกระโจมหมอ เมื่อออกมาข้างนอกก็พบว่ารอบด้านปราศจากผู้คน ดวงอาทิตย์กำลังลอยขึ้นไปบนฟ้า สลายเมฆหมอกยามรุ่งสาง แสงสว่างทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้ทั้งหมด
“กระหม่อมกำลังจะตามหาท่านอ๋องอยู่พอดี การศึกวันนี้ประหลาดอยู่บ้าง” ตงฟางใคร่ครวญเล็กน้อย เลือกพูดจากในมุมมองคนภายนอก “ตามหลักแล้ว การบุกโจมตีกะทันหันจะต้องแบ่งกำลังทหารไว้รอสนับสนุน จึงจะสามารถบุกและถอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่การลอบโจมตีกลางดึกเพื่อเอาหัวของผู้นำสูงสุดของอีกฝ่ายโดยตรง จำเป็นต้องกระทำการอย่างเงียบเชียบและรอบคอบมาก ทัพเสริมควรอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยจึงจะไม่ถูกจับได้โดยง่ายก่อนการบุกโจมตี แต่ทัพเสริมนี้มาถึงเร็วเกินไป ชาวหูที่อยู่ข้างหน้ายังไม่รู้ข่าว แต่ทัพเสริมด้านหลังกลับรู้ก่อนแล้ว”
เฉิงตั๋วยังคงยิ้ม “ทำศึกหนนี้ เรื่องประหลาดที่เกิดก็ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้”
ตงฟางเห็นเขายังคงมีท่าทีสุขุมเยือกเย็นก็คิดในใจว่า หรือท่านอ๋องจะทรงรู้ว่าในกองทัพมีไส้ศึก และก็รู้ว่าไส้ศึกเป็นผู้ใด ท่านอ๋องพระองค์นี้จะมีเรื่องใดที่ไม่อาจควบคุมได้บ้างหรือไม่หนอ
จู่ๆ ตงฟางหยุดยืนนิ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมเพิ่งมาที่นี่ พระองค์ไม่ทรงสงสัยถึงเบื้องลึกของกระหม่อมเลยหรือ”
เฉิงตั๋วก็หยุดยืน ทว่าไม่ได้หันไปมองเขา เพียงเปิดปากกล่าวเนิบช้า “เดิมเจ้าสกุลจาง เกิดในครอบครัวชาวนาในเมืองผิงเหยาของเยี่ยนโจว เจ้าฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่อายุหกขวบ บิดาเจ้าส่งเจ้าไปศึกษาเล่าเรียน คาดหวังให้เดินไปในเส้นทางการเป็นขุนนาง สร้างความรุ่งโรจน์ให้ครอบครัว ทว่าตอนที่เจ้าอายุแปดขวบ มีนักพรตพเนจรผู้หนึ่งเดินทางผ่านมา เจ้าถึงกับทรยศบิดามารดา ติดตามเขาจากไป ไร้ข่าวคราวใดอีกนับจากนั้น เก้าปีให้หลังเจ้าจึงกลับมาบ้านเกิด แต่บิดามารดาทยอยกันลาโลกไปแล้ว เหลือแค่น้องสาวอายุน้อยเพียงลำพัง เจ้าจึงได้พาน้องสาวไปอยู่เงียบๆ ในบริเวณลึกเข้าไปสามสิบหลี่ด้านทิศตะวันตกของเมืองผิงเหยา เปลี่ยนชื่อเป็นตงฟางฮู่ ดังนั้นชาวบ้านในละแวกรอบๆ จึงรู้จักท่านตงฟาง ทว่าไม่รู้ว่าท่านตงฟางมาจากที่ใด”
ตงฟางไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงยิ้มน้อยๆ “แต่สิ่งนี้ไม่อาจยืนยันได้ว่ากระหม่อมไม่มีทางเป็นไส้ศึกนี่”
เฉิงตั๋วหันไปมองเขา “ความเป็นมาของคนง่ายจะสืบเสาะ แต่ใจคนกลับยากจะมองทะลุ ข้าคิดเสมอว่าในเมื่อใจคนยากคาดเดา แล้วเหตุใดจึงต้องไปคาดเดาด้วย น้องหรานจือ สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นใครล้วนไม่สำคัญ พูดถึงชีวิตทหารสามเหล่าทัพแล้ว ข้าต้องความรับผิดชอบในการตรวจสอบและจัดการ ข้าเพียงแค่ทำหน้าที่ให้ดีก็พอ เหตุใดจึงต้องทำให้ตัวเองกังวลเรื่องอื่นๆ ด้วยเล่า”
ตงฟางมองเขา เห็นสีหน้าอีกฝ่ายเรียบเฉย ก็รู้สึกว่าคนอย่างเฉิงตั๋ว บางทีก็เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด ทว่าบางทีกลับเย็นชาถึงที่สุด เมื่อเทียบกันแล้ว เป็นตนที่ติดอยู่ในความคิดและขนบธรรมเนียมประเพณีแบบเดิม
ในตอนเย็น เฉิงตั๋วอยู่ในกระโจมใหญ่ของเขา วาดภาพประหลาดอย่างหนึ่งอยู่บนโต๊ะ ตอนกลางวันยามที่เขาได้ยินคำพูดของหมิงจี ก็พลันนึกถึงวิธีหนึ่งในการรับมือกับทหารม้าชาวหูขึ้นมาได้ เขาจรดพู่กันวาดรูปลงบนกระดาษขาว ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนครุ่นคิดอีกครั้ง ก่อนนั่งลงมองภาพวาดนั้นอีกครู่หนึ่ง แล้วหยิบกระบี่ขึ้นมากวัดแกว่งไปมากลางอากาศ
เขาไม่ได้สนใจฉาฉาที่ขดตัวหลับอยู่บนกองพรมบริเวณมุมกระโจม นางถูกเฉิงตั๋วพากลับมาที่นี่ ไม่ได้กลับไปนอนในเพิงผ้าสักหลาดแห่งนั้นอีก เพียงแค่มุมแคบๆ ในกระโจมแห่งนี้ก็มากเพียงพอให้นางนอนหลับอย่างสงบได้แล้ว
คนบางคนไม่มีทางมีชีวิตอยู่กับเมื่อวาน เพราะเมื่อวานได้ผ่านพ้นไปแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่กับวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้มีเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้มากเกินไป ดังนั้นในตอนที่มีเตียงนอนอบอุ่น ง่วงงุนสะลึมสะลือ และมีเวลามากพอ ก็สนใจแค่เรื่องนอนเถอะ
โปรดติดตามตอนต่อไป