บทที่สี่
ชั่วพริบตาเดียวคืนข้ามปีก็มาถึง อากาศหนาวเย็นมากขึ้น เพื่อป้องกันการลอบโจมตีของชาวหู เฉิงตั๋วจึงยังไม่ออกคำสั่งคลายกำลังทหาร กลับกันยังยิ่งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราแต่ละป้อมปราการมากขึ้น ยามนี้ตัวเขานั่งอยู่ในกระโจม มองรายงานที่ถูกส่งมาในช่วงสิบวันนี้ ตงฟางกับเขาร่างกฎระเบียบบางอย่างขึ้นมา ถ่ายทอดลงไปให้ทหารทุกฝ่ายเพื่อจัดระเบียบวินัยทหารอย่างเข้มงวด มีทั้งรางวัลและบทลงโทษ รายงานต่างๆ จึงทยอยส่งกลับมาไม่ขาดสาย
เฉิงตั๋วอ่านไปทีละแผ่นๆ ลายปักบนชุดสีเขียวเข้มที่เขาสวมสะท้อนอยู่ภายใต้แสงไฟ แขนเสื้องอยับเล็กน้อยตามการขยับข้อมือ เส้นผมเขาเปียกหมาด มัดรวบอยู่หลังท้ายทอย ทำให้เสื้อคลุมขนเตียว อันล้ำค่าที่พาดอยู่บนบ่าเปียกชื้น เฉิงตั๋วอ่านรายงานอย่างตั้งใจ สีหน้าภายใต้แสงไฟลดทอนกลิ่นอายองอาจลงไปเล็กน้อย เพิ่มความสุขุมเข้ามาแทน
เจ๋ออี้แบกม้วนพรมสีเทาเดินเข้ามา เฉิงตั๋วไม่ได้เงยหน้าขึ้นและไม่ได้มอง เพียงพูดว่า “วางลง”
เจ๋ออี้วางม้วนพรมลงบนพื้นแล้วค้อมตัวถอยออกไป เฉิงตั๋วยังคงอ่านรายงานในมือ เริ่มจากกองซ้ายไปกองขวา พรมบนพื้นขยับไหว ด้านหนึ่งของพรมมีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาช้าๆ ขาวเพรียวงดงาม เท้าข้างนั้นสัมผัสพื้นน้อยๆ ก่อนขยับซ้ายขวา คล้ายพยายามสัมผัสถึงทิศทาง ก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปใกล้กระถางไฟ ขอบของพรมคลายออกเล็กน้อย คนในพรมราวกับไม่ชอบแสงสว่างที่มากเกินไปของเปลวไฟจึงกระชับพรมแน่นขึ้น รัดออกมาเป็นทรวดทรงที่ค่อนข้างดีของสตรี จากนั้นก็ไม่ขยับอีก
เฉิงตั๋วอ่านรายงานเหล่านั้นนานยิ่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ในตอนที่อ่านจบก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นน้อยๆ คิดถึงเอกสารที่ผู้บัญชาการทหารอวิ๋นโจว อ๋องเจ็ดเฉิงเสี่ยนเขียนให้เขา ถ้อยคำในเอกสารราบเรียบ ทำตามหน้าที่ พูดถึงสถานการณ์ที่ชาวหูโจมตีแนวชายแดนอวิ๋นโจวหลังเหตุการณ์บุกโจมตีชาวหูกะทันหันของเยี่ยนโจว
เฉิงเสี่ยนในฐานะน้องชาย ซ้ำยังมีตำแหน่งต่ำกว่าเฉิงตั๋ว ยามเขียนเอกสารมากลับไม่มีข้อความถามไถ่สารทุกข์สุกดิบสักคำ เรื่องนี้เฉิงตั๋วไม่ประหลาดใจ เขากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นพี่น้องร่วมมารดากัน ส่วนกับน้องชายต่างมารดาผู้นี้ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรอื่นอีก ที่เขาแปลกใจคือเหตุใดครั้งนี้ฮ่องเต้จึงทรงส่งเขามาควบคุมทหารของเยี่ยนโจวกับอวิ๋นโจว แต่กลับให้เฉิงเสี่ยนประจำการอยู่ที่อวิ๋นโจวไม่ไปไหน ทำให้รู้สึกว่ามีเจตนาอะไรบางอย่างแฝงอยู่
เฉิงตั๋วหยิบรายงานบางส่วนแล้วลุกขึ้นยืน ต้องการเดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกไปข้างนอก ทันทีที่ก้าวเท้าออกไปถึงเพิ่งสังเกตว่าบนพื้นมีเงาสีเทาขมุกขมัววางขวางอยู่ เพราะรั้งเท้ากลับมาไม่ทันแล้วจึงต้องกระโดดข้ามไป ครั้นห่างมาครึ่งจั้ง หันหน้ากลับไปมองถึงนึกขึ้นได้ นั่นเป็นสตรีของซิวถูอ๋องผู้มีแววตาเฉยชานางนั้น เขาเป็นคนบอกให้เจ๋ออี้พามาเอง เฉิงตั๋วเลิกม่านกระโจม ส่งเสียงเรียกเจ๋ออี้ เจ๋ออี้รีบเดินเข้ามา เขาส่งเอกสารในมือให้ สั่งให้หาคนส่งต่อไปทันที นอกจากนี้ตอนกลับมาก็ให้เอาของกินบางอย่างมาด้วย
เมื่อเฉิงตั๋วหันหน้ากลับมา พรมบนพื้นผืนนั้นยังคงนิ่งสนิทไม่ไหวติง เฉิงตั๋วจึงเดินไปนั่งยองลง จับมุมหนึ่งของพรมดึงออก คนในพรมถูกแสงสว่างสาดใส่กะทันหันจึงสะดุ้งสะลึมสะลือตื่น นางหันหน้าไปมองเฉิงตั๋ว กะพริบตาปริบๆ แล้วจึงลุกขึ้นนั่งช้าๆ หลังตื่นเต็มตา สีหน้ามึนงงสับสนก็เปลี่ยนไปเป็นอาการนิ่งสงบ แฝงไว้ด้วยบรรยากาศเย็นชา นางมองไปยังกระถางไฟเงียบๆ ส่วนเฉิงตั๋วมองนาง ขนตายาวสะท้อนอยู่บนดั้งจมูกโด่ง เปลวไฟส่องใบหน้าซีดขาวของนาง เสื้อผ้าที่สวมยังคงเป็นชุดผ้าไหมหิมะตัวเดิม แต่ร่องรอยเปรอะเปื้อนด่างดวงซีดจางลงแล้ว เห็นได้ชัดว่าผ่านการซักมา สองเท้านางเปลือยเปล่า
เฉิงตั๋วมองนางเงียบๆ ครู่หนึ่งถึงลุกขึ้นยืน เดินไปนั่งบนพรมข้างโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่ริมกระโจม