บทที่ห้า
วิธีการที่เฉิงตั๋วคิดนั้นเรียบง่ายมาก เป็นการใช้อาวุธยาวยืมแรงโจมตีเพื่อตัดขาม้าของศัตรู ม้าศึกก็คือรากฐานของทหารม้า ดังนั้นทันทีที่ม้าสูญเสียขาก็จะเคลื่อนไหวไม่ได้ และวิธีการเช่นนี้ก็ต้องการอาวุธที่เข้าคู่กัน เฉิงตั๋วได้ออกแบบอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมา ลักษณะโดยมากคล้ายจี่* จี่ที่ทำจากสำริดทั่วไปเป็นอาวุธที่ทหารรักษาวังใช้ รวมหอกและขวานปากไก่เอาไว้ด้วยกัน สามารถใช้แทงตรงและโจมตีด้านข้าง ส่วนจี่ชิ้นนี้ที่เฉิงตั๋วคิดออกมากลับไม่ค่อยเหมือนกันนัก ด้านที่เหมือนหอกมีลักษณะเป็นตะขอแหลมเหมือนจันทร์เสี้ยว ตัวจี่ยาวแปดฉื่อ ฉะนั้นไม่ต้องรอให้ดาบโค้งของชาวหูเข้ามาใกล้ก็สามารถเกี่ยวขาม้าได้ก่อนแล้ว ส่วนตะขอโค้งนั้นใช้ตัดขาม้า ทันทีที่ตวัดเกี่ยวแนวราบก็จะสามารถล้มคนขี่ลงมาได้ จากนั้นดึงกลับมาเปลี่ยนเป็นแทงตรงเพื่อปลิดชีพศัตรู อาวุธชิ้นนี้จึงนำวิธีเกี่ยวและแทงมาใช้ร่วมกัน
เฉิงตั๋วตามหาตงฟาง โบกมือให้คนรอบข้างออกไปจึงเอ่ยความคิดนี้ให้ฟัง ตงฟางใคร่ครวญแล้วรู้สึกว่าสามารถลองดูได้ “วิธีการนี้จำเป็นต้องมีสองเงื่อนไข หนึ่งคือเป็นความลับ สองคือเหนือความคาดหมาย ก่อนหน้าที่จะฝึกจนสำเร็จ พวกเราไม่ใช้กำลังทหารจะดีที่สุด”
เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว “เลี่ยงการศึก นี่ดูเหมือนจะ…ไม่ใช่แนวทางของข้า”
“การรบชนะไม่ใช่แค่กำราบศัตรู แต่เป็นการทำให้ฝ่ายตนเหลือรอดมากที่สุดเมื่อเทียบกับความตายของฝ่ายตรงข้าม” ตงฟางชะงักไปเล็กน้อย “ท่านอ๋องคงไม่ทรงคิดว่าการเลี่ยงไม่ต่อสู้ก็คือความอ่อนแอขี้ขลาดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วตอบกลับอย่างไม่แยแส “วิธีการกระตุ้นชั้นต่ำเช่นนี้เจ้ายังเอาออกมาใช้ได้นะ”
ตงฟางลอบยิ้มในใจ ชั้นต่ำหรือไม่ไม่สำคัญ แค่ได้ผลก็เพียงพอแล้ว
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่าต่อมา เฉิงตั๋วเอาแต่ลาดตระเวนไม่สู้รบแล้วจริงๆ ทหารม้าของประมุขข่านหูตี๋กดดันเข้ามาถึงระยะสิบหลี่หน้าค่าย ปักหลักประจำการอย่างเข้มงวด ตั้งทัพอย่างมั่นคงเป็นพิเศษ แต่ทุกครั้งที่ออกมายั่วยุ เฉิงตั๋วก็จะออกคำสั่งให้ทหารตอบโต้กลับไปด้วยการยิงธนู ยิงก้อนหินเผาไฟ แต่ไม่ออกไปสู้รบ ชาวหูอยากจะทำสงครามแต่ไม่อาจทำได้ ทั้งอึดอัดใจทั้งสงสัย ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
ค่ายทหารตะวันตกและตะวันออกของหยางโหย่วหลินกับจ้าวสุ่นต่างดึงทหารม้าออกมาทัพละสองหมื่นนาย ล่าถอยออกจากค่ายไปห้าหลี่ ทุกการฝึกฝนล้วนรับคำสั่งจากตงฟาง ส่วนเฉิงตั๋วเอาแต่นั่งอยู่ในกระโจมกลาง ทุกวันอ่านรายงานทหารสามเหล่าทัพ หยางโหย่วหลินกับจ้าวสุ่นทั้งสองคนสลับกันกลับมาที่ค่าย แม้แต่ทหารคนสนิทที่อยู่ด้านซ้ายขวาของกระโจมกลางก็ยังไม่รู้เรื่องการฝึกทหารม้าลับ
วันนี้ขณะเฉิงตั๋วกำลังเขียนรายงานอยู่ที่โต๊ะ เจ๋อเหรินก็พลันรีบเร่งเข้ามาที่ด้านขวาของโต๊ะ เอ่ยเสียงต่ำ “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ บ่าวหญิงที่ดูแลเพิงหญิงบำเรอของค่ายด้านหลังรายงานขึ้นมาว่า มีคนฟ้องว่าฉาฉาขโมยของ บอกว่าก่อนหน้านี้เห็นนางฝังของบางอย่างไว้ใต้เสาบริเวณเพิงนั้น เมื่อถูกคนพบเห็นจึงนำไปซ่อนไว้ที่อื่นพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก “เจ้าก้าวหน้าขึ้นแล้วจริงๆ เรื่องเช่นนี้ยังต้องมาถามข้ารึ!”
เจ๋อเหรินจึงถามอย่างขอคำแนะนำ “ถ้าอย่างนั้นให้ขับไล่นางออกไปดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วร้อง “อืม” ตอบรับโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า เจ๋อเหรินจึงหมุนตัวเดินไปถึงประตูกระโจม ทันใดนั้นเฉิงตั๋วก็เอ่ยปากรั้งเจ๋อเหรินเอาไว้ เขาคิดไม่ออกว่ามีของอะไรที่ทำให้ฉาฉานึกอยากขโมย ดูเหมือนไม่ว่าอะไรในสายตานางแล้วล้วนไม่น่าสนใจ นอกจากนี้ฉาฉายังมาอยู่ในกระโจมใหญ่ของเขา ยากจะไม่ทำให้คนนึกริษยา บ่าวหญิงที่มารายงานผู้นั้นอาจไม่มีเจตนาดี
เขาคิดๆ แล้วสั่งการ “เจ้าพาคนไปด้วยสองคน ถามพวกนางว่าก่อนหน้านี้ฉาฉาเคยเอาของไปซ่อนไว้ที่ใดบ้าง แล้วไปค้นมาดู”
เจ๋อเหรินได้ยินคำสั่งนี้ก็อดร้อง “อ๋า?” ออกมาไม่ได้ ในใจคิดว่า เรื่องการตรวจค้นเพิงหญิงบำเรอก็ทรงให้กระหม่อมเป็นคนทำหรือนี่ เมื่อเห็นเฉิงตั๋วไม่คล้ายล้อเล่น จึงได้แต่ขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ”