เขาหุบยิ้ม “แม้จะดูแก้ตัวไปบ้าง แต่ก็ตอบได้ดี เจ้ายังอยากบอกอะไรอีกหรือไม่ หรือจะเปลี่ยนวิธีเป็นให้ข้าช่วยเจ้าคิด?”
ฉาฉายังคงคุกเข่าไม่ขยับ เฉิงตั๋วเองก็นั่งนิ่ง เขามองไปที่เจ๋อเหริน ก่อนจะพยักพเยิดปลายคางไปที่ฉาฉา เจ๋อเหรินเดินเข้าไปลากนางมา หยิบแส้ยาวที่ใช้เป็นอาวุธทหารเส้นหนึ่งจากด้านข้าง
แส้ยาวเส้นนี้ทำมาจากหนังวัว ฝังเศษเหล็ก เวลาโบกสะบัดจึงทั้งแข็งกร้าวและยืดหยุ่น เจ๋อเหรินสะบัดแส้เล็กน้อย บังเกิดเสียงวูบน่าตกใจ ฉาฉาก้มหน้าอยู่จึงมองสีหน้านางได้ไม่ชัด ทว่าเมื่อครู่นางแสดงท่าทีขลาดกลัว แต่ยามนี้กลับเอวไม่ค้อมไหล่ไม่ตก เอาแต่คุกเข่านิ่งไม่ไหวติง เจ๋อเหรินสะบัดแส้เส้นนั้น เฆี่ยนไปบนร่างของนางอย่างแรง เสื้อผ้าฝ้ายของฉาฉาขาดเป็นแนวยาวทันใด คนก็ล้มฟุบลงกับพื้น ในอากาศมีเศษผ้าฝ้ายบางส่วนปลิวกระจาย
เจ๋อเหรินใช้ดาบที่เหน็บไว้ข้างเอวกรีดเสื้อนอกนางออก โยนทิ้งไปข้างๆ ยามนี้ฉาฉาสวมเพียงเสื้อตัวในชิ้นเดียว จึงมองเห็นบ่านางกำลังสั่นระริกอยู่น้อยๆ
ไม่มีช่วงเวลาให้พักหายใจ แส้ที่สองของเจ๋อเหรินสะบัดลงมาอีกครั้ง เสียงกรีดผ่านอากาศของแส้หนังเส้นนั้นเล็กแหลม แต่ยามกระทบลงบนผิวคนกลับทุ้มหนักไม่กังวาน ฉาฉาหอบหายใจสั้นๆ ชั่วพริบตาก็รู้สึกราวกับว่าแส้เฆี่ยนเข้าไปถึงอวัยวะภายใน นางหมอบอยู่บนพื้น ผมเปียคลายตัว เรือนผมสยายลงมาโดยรอบ
เจ๋อเหรินกลับไม่หยุด เงื้อแส้เฆี่ยนลงมาอีกครั้ง
ความเจ็บปวดแผ่ลามไปทั่ว โลหิตก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นมาที่ลำคอ ฉาฉาฝืนพยายามประคองสติไว้ พิจารณาอย่างตั้งใจว่าควรจะตอบคำถามที่เฉิงตั๋วต้องการรู้ออกมาก่อนดีหรือไม่ และคำตอบเช่นไรจึงจะสามารถทำให้ตนรอดพ้นไปได้
เจ๋อเหรินเงื้อมือ สะบัดแส้ลงมาเป็นครั้งที่สี่ ครานี้มีหยาดโลหิตสาดกระเซ็นไปบนอากาศตามแรงตวัดของปลายแส้ ฉาฉาคิดในใจ ทำเช่นนี้คือต้องการเอาชีวิตข้านี่ ทว่าเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางกลับเปลี่ยนมุมมองทันใด ในเมื่อตนน่าสงสัย ทั้งยังเป็นทาสมาจากแดนชาวหู หากเฉิงตั๋วจะฆ่าก็สามารถฆ่าให้สิ้นในทีเดียว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาไต่สวนเช่นนี้ นอกจากเขาจะมีข้อสงสัยอื่นอีก…
เจ๋อเหรินตวัดแส้ไม่หยุดมือ ในช่วงเวลาสั้นๆ ฉาฉาตัดสินใจได้แล้ว นางกัดฟัน ซุกหน้าลงกับท่อนแขน ปล่อยให้ร่างกายรับแส้จนเกิดแผลยับเยิน เฉิงตั๋วมองนางซุกหน้ากับแขน เหมือนความเป็นตายไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง แววตาเขาก็เปลี่ยนไปอย่างคาดเดาไม่ได้
เสื้อตัวในของฉาฉาย้อมไปด้วยโลหิตอย่างรวดเร็ว ผิวหนังที่ถูกเจ๋อเหรินใช้แส้สะบัดฟาดลงมาบอบบางประหนึ่งใบไม้ร่วงกองหนึ่งที่พร้อมจะถูกลมจากแส้หอบหายไปได้ทุกเมื่อ ทว่านางไม่ส่งเสียงแม้แต่เล็กน้อย ไม่ได้กลิ้งเกลือกหลบหนี หากแต่ขดตัวเหมือนตายไปแล้ว สภาพราวกับเหยื่อที่กำลังถูกทารุณ ร่างกายขดเกร็งไปทั้งร่าง ผิวหนังถูกแส้เฆี่ยนจนฉีกขาด
ทันใดนั้นเฉิงตั๋วก็เรียกเสียงเนิบช้า “เจ๋อเหริน”
เจ๋อเหรินหยุดมือทันใด หันมาค้อมตัวให้เฉิงตั๋ว เฉิงตั๋วกล่าวเสียงนุ่มนวล “เจ้าเฆี่ยนเช่นนี้ อีกไม่นานก็จะเฆี่ยนนางจนตายแล้ว”
เจ๋อเหรินก้มหน้าไม่พูดจา
เฉิงตั๋วเดินมานั่งยองๆ ยื่นมือไปกดแผลบนเอวของฉาฉา นางตัวสั่นเล็กน้อยอย่างอ่อนแรง เฉิงตั๋วถามด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง”
ฉาฉายังคงนอนหมอบนิ่ง เฉิงตั๋วกระชากผมให้นางเชิดหน้าขึ้น ทั้งสองคนมองสบตากัน สถานการณ์เช่นนี้มอบความคุ้นเคยประการหนึ่งให้ ในคืนวันข้ามปีคืนนั้น เขาเองก็กระชากผมนางเช่นนี้ ฉาฉานึกถึงการปลอบประโลมในค่ำคืนอันทุกข์โศกคืนนั้น จู่ๆ ความเศร้าก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ในดวงตาสีน้ำเงินครามถึงกับเปียกชื้น
เฉิงตั๋วเม้มปาก ทว่าไม่ได้พูดอะไร เขากดศีรษะนางให้กลับไปซุกบนท่อนแขนช้าๆ และยังคงวางมือค้างอยู่บนนั้นประหนึ่งสัมผัสสัตว์ตัวเล็กตัวหนึ่ง เฉิงตั๋วเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เจ้าติดตามข้ามาได้สิบสองปีแล้วใช่หรือไม่”
โปรดติดตามตอนต่อไป