เจ๋อเหรินหายไปครึ่งวันถึงได้กลับมารายงานว่าค้นหาเรียบร้อยแล้ว สตรีเหล่านั้นบอกสถานที่ออกมา แต่หาของไม่พบ
เฉิงตั๋วบอกให้เขาไปพาฉาฉามาที่กระโจมกลาง ฉาฉาเดินตามเจ๋อเหรินเข้ามา นางเพิ่งเข้ามาในกระโจมกลางครั้งแรกจึงอดมองสำรวจการตกแต่งภายในเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนจะได้ยินเฉิงตั๋วพูดเสียงต่ำ “มีคนฟ้องว่าเจ้าขโมยของ แต่ก่อนฝังไว้ใต้เสาไม้ที่ด้านหน้ากระโจมสักหลาด” พูดจบก็หยุด ครั้นเห็นนางนิ่งงันจึงเอ่ยต่อ “ข้าให้เจ๋อเหรินค้นหาสิ่งของจนเจอแล้ว”
ดวงตาฉาฉาเบิกกว้าง คล้ายตกใจอยู่บ้าง เช่นนั้นก็ยืนยันได้แล้วว่ามีเรื่องนี้จริงๆ
“เจ้าเป็นทาส ไม่อาจแอบเก็บของอะไรเอาไว้ได้ ดังนั้นของจะไม่คืนให้ ซ้ำเจ้ายังเป็นใบ้ ข้าจึงถามหาเหตุผลไม่ได้ หนนี้ให้แล้วไป ไว้ดูความประพฤติในวันหน้าของเจ้าก็แล้วกัน” เฉิงตั๋วไม่รู้ว่าของนั้นเป็นของสิ่งใด จึงได้แต่เลี่ยงไม่พูดถึง
สีหน้าฉาฉาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เบิกตากว้างมองมาที่เขา เฉิงตั๋วคิดในใจว่า เจ้ายิ่งลนลานยิ่งดี จะได้หลอกได้ง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าของสิ่งนี้สำคัญกับนางมาก เขายิ่งรู้สึกประหลาดใจ โบกมือบ่งบอกให้นางออกไปได้แล้ว
ที่ผ่านมาฉาฉาเชื่อฟังอย่างยิ่ง รู้จักอ่านสีหน้ามาโดยตลอด แต่หนนี้กลับยืนเฉยไม่ยอมขยับ สายตามองมาทางเฉิงตั๋วทั้งคล้ายไม่เชื่อและร้อนรน ทว่ากลับเห็นเขามีท่าทีเหมือนหมดความอดทนอยู่บ้าง เฉิงตั๋วหยิบรายงานขึ้นมาอ่านส่งๆ ส่วนเจ๋อเหรินก้าวมาข้างหน้า ต้องการลากนางออกไป คาดไม่ถึงว่าฉาฉาจะดิ้นจนหลุดจากมือเจ๋อเหริน เฉิงตั๋วเงยหน้าขึ้นมอง เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววอ้อนวอนจากในดวงตาไร้คลื่นอารมณ์คู่นั้น
เฉิงตั๋วแสร้งโมโห ตวาดเสียงต่ำ “ยังไม่ออกไปอีก!”
เจ๋อเหรินจับแขนทั้งสองข้างของนางบิดกลับ ผลักออกไปนอกกระโจมกลาง หนนี้ฉาฉาไม่ได้ต่อต้าน ยอมให้เขาผลักออกไปโดยดี
นางเพิ่งจะเดินห่างออกไป เฉิงตั๋วก็อดยิ้มไม่ได้ เอ่ยสั่งเจ๋อเหริน “เจ้าตามนางไป หากซ่อนไว้ในที่ไกลหูไกลตาผู้คน นางจะต้องไปตรวจสอบดูแน่นอน แต่ถ้าหากนางอยู่ในกระโจมตามเดิม อย่างนั้นของก็ต้องถูกซ่อนอยู่ใกล้ๆ กระโจมใหญ่ของข้าแน่ เจ้าลองไปหาดู”
เจ๋อเหรินออกไปทำตามคำสั่ง เฉิงตั๋วจับพู่กัน ยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นเงาสีเขียวสูงผอมเดินเข้ามาแต่ไกล อากาศไม่หนาวเย็นเท่าไรแล้ว ม่านกระโจมจึงไม่ได้ปิดอยู่ตลอดเวลา จากกระโจมกลางของเฉิงตั๋วสามารถมองไปถึงประตูค่ายที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว
เพียงไม่นานตงฟางก็เดินเข้ามาในกระโจมกลาง เฉิงตั๋วให้เขานั่งลงข้างๆ ตงฟางตรงเข้าประเด็นทันที “ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเก็บเกี่ยว เคียวของชาวนาจึงไม่ได้ใช้งาน เคียวในพื้นที่เยี่ยนโจว อันใดที่ใช้ประโยชน์ได้ กระหม่อมจะไปยืมมา คิดหาวิธีหลอมเชื่อมไปบนอาวุธเลยจะได้ประหยัดเวลา เพียงแต่จะต้องใช้จนพังเสียหายแน่ๆ ดังนั้นรบกวนท่านอ๋องทรงเตรียมเงินเอาไว้ส่วนหนึ่ง ถึงเวลาจะได้มีชดเชย”
“เคียว?” เฉิงตั๋วรู้ว่าตงฟางมีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้าน เรื่องประเภทนี้ให้เขาออกหน้าจะดีกว่า
ตงฟางยิ้ม “วัตถุดิบไม่มีกฎแน่นอน ขึ้นอยู่กับการใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์”
ในตอนที่เฉิงตั๋วกำลังจะตอบ เจ๋อเหรินก็จับฉาฉากลับเข้ามาอีกครั้ง ฉาฉาถูกเขาผลักให้คุกเข่าบนพื้น ตงฟางเพียงตวัดสายตามองคราหนึ่ง ก่อนยกน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่สนใจ เจ๋อเหรินส่งถุงผ้าไหมสีพื้นๆ ถุงหนึ่งมาให้
เฉิงตั๋วรับมา เห็นบนถุงปักอักษรสองสามตัว ไม่คล้ายเป็นภาษาหู แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นภาษาของที่ใด ตอนที่เขากำถุงผ้าไหมใบนั้น รู้สึกได้ว่าของที่อยู่ข้างในกระทบกัน เมื่อคว่ำเทลงบนโต๊ะก็มีเสียง ‘แกร๊ง’ ดังขึ้น ของที่หล่นลงมามีลักษณะเป็นเครื่องประดับ ครั้นหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสร้อยเส้นหนึ่ง ด้านบนร้อยลูกปัดหินเม็ดกลมสีเขียวอมฟ้าเม็ดเล็กๆ เอาไว้สามเม็ด สร้อยนี้ประณีตยิ่ง เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป เมื่อสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่าวัตถุดิบที่ใช้ทำไม่ใช่ทั้งทองคำและเงิน แต่แวววาวยิ่งกว่า