ท่ามกลางกลุ่มคนวุ่นวาย ในมุมเล็กๆ ข้างประตูค่ายตะวันตกมีดวงตาคู่กลมสีดำขลับชะโงกออกมา มองไปยังคอกม้าที่ไฟไหม้ซึ่งอยู่ห่างไปไกล ดวงตากลอกมองซ้ายขวา ก่อนเงาร่างเล็กๆ จะผลุบออกมา เด็กน้อยโยนคบเพลิงในมือลงบนพื้นแล้วเหยียบจนดับ อาศัยความวุ่นวายลอบออกไปทางนอกค่ายเงียบๆ ในช่วงที่ฟ้าเริ่มมืดขณะมาถึงข้างประตูค่ายตะวันตก เพียงชั่วอึดใจสั้นๆ ที่ไม่ทันระวังก็ถูกทหารลาดตระเวนผู้หนึ่งจับได้ หัวหน้าทหารลาดตระเวนกลุ่มนั้นตวาดถามถึงที่มาที่ไปของเขาเสียงดัง
เด็กน้อยยกห่อสัมภาระขึ้น ท่าทีหวาดกลัวถึงขีดสุด ตอบตะกุกตะกัก “นะ…นายท่าน เมื่อสาม…สามวันก่อน พ่อข้าจากไปแล้ว พี่ข้าเป็นทหาร ข้า…ข้าจึงมาเยี่ยมเขา” พูดจบก็หลั่งน้ำตาออกมาตัวสั่นเทา หัวหน้าทหารลาดตระเวนคิดในใจ เหตุใดตนจึงได้สะเพร่าเพียงนี้ ถึงกับปล่อยให้เด็กผู้หนึ่งเล็ดลอดเข้ามาได้ เขาเห็นเด็กน้อยร้องไห้จนมีสภาพเช่นนั้นก็อดคิดไปถึงมารดาแก่ชราและน้องชายอ่อนแอที่บ้านไม่ได้ จึงลอบถอนหายใจ น้ำเสียงไม่ได้เข้มงวดเช่นเดิมอีก “ค่ายทหารเป็นสถานที่สำคัญ ไม่อาจลอบเข้าออกได้ เจ้ากลับไปเถอะ”
จากนั้นก็นำตัวเขามาปล่อยที่ประตูค่ายตะวันตก เด็กน้อยลุกขึ้นยืน มองไปยังธงที่โบกสะบัดของค่ายทหารอย่างน้อยใจ แววตาอาลัยอาวรณ์ ราวกับธงนั่นคือครอบครัวของเขา หัวหน้าทหารลาดตระเวนทนมองไม่ได้จึงโบกมือ ร้องว่า “ไปเถอะ!”
เด็กน้อยเดินไปได้สามก้าวก็หันกลับมามองอีกครั้ง ทว่าการมองครั้งนี้ทำให้เขาตกใจ แม้แต่สีหน้าโศกเศร้าก็ยังเปลี่ยนไป
หัวหน้าทหารลาดตระเวนก็หันไปมอง ทางด้านหน้าประตูใหญ่ของค่ายมีคบเพลิงระริกไหว ท่ามกลางแสงอัสดงมองออกได้รางๆ ว่าเป็นธงเหยี่ยวของเฉิงตั๋ว กำลังมุ่งหน้ามาที่ค่ายช้าๆ ทหารลาดตระเวนทั้งกองตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน ร้อนใจอยากรู้ผลการรบ ในตอนที่หัวหน้าทหารลาดตระเวนหันกลับมาอีกที เด็กน้อยที่เมื่อครู่ยังอาลัยอาวรณ์ก็ไม่อยู่ตรงหน้าเสียแล้ว เขามองไปบนทุ่งหญ้าโล่งกว้างก็คล้ายกับเห็นเงาเล็กๆ กำลังรีบวิ่ง ในช่วงอึดใจสั้นๆ ก็หลอมรวมไปกับสีของยามอัสดงแล้ว
ภายในกระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋ว ฉาฉาถือถ้วยยา ทว่ากลับเหมือนลืมไปแล้วว่าต้องดื่ม และก็คล้ายไม่รู้สึกตัวว่าตงฟางออกไปนานแล้ว นางเพียงยืนอยู่กลางกระโจมเงียบๆ ฟังเสียงผู้คนที่ค่อยๆ ดังเอะอะขึ้นจากด้านนอกกระโจม เมื่อวางถ้วยลงและเดินไปที่ประตูกระโจม นางก็เห็นเฉิงตั๋วนำทัพทหารม้ากลับมา บนหลังม้าทุกตัวต่างแขวนศีรษะของศัตรูเอาไว้จำนวนมาก
สนามฝึกซ้อมที่ประตูค่ายราวกับเป็นนรกบนดินทันที ศีรษะของศัตรูกองทับถมกันเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ทหารทุกนายต่างปรบมือโห่ร้อง เปล่งเสียงฉลองชัยชนะ หยางโหย่วหลินถูกรองแม่ทัพผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจับโยนขึ้นไปบนอากาศ
ทหารม้าจำนวนห้าหมื่นนายภายใต้บังคับบัญชาของประมุขข่านหูตี๋ถูกกำราบไปกว่าครึ่ง ถึงแม้ตัวเขาจะหนีไปได้ แต่การศึกครั้งนี้ได้สร้างบาดแผลใหญ่ให้หูตี๋ ส่งผลให้สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างอย่างมหันต์
ฉาฉามองภูเขาศีรษะลูกนั้นจากที่ไกลๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด เฉิงตั๋วไม่ได้รั้งอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังครึกครื้น หลังออกคำสั่งกับนายกองจำนวนหนึ่งเสร็จก็เดินตรงมาที่กระโจมใหญ่ของตน บนชุดเกราะสีเงินขาวเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต เขาเม้มปาก มองไม่ออกว่าอารมณ์ดีหรือไม่ดี เมื่อตรงมาถึงหน้ากระโจมก็ไม่แม้แต่มองฉาฉาตรงๆ เพียงตะโกนเสียงดัง “เจ๋ออี้ ยกน้ำมา!” แล้วโยนชุดเกราะทิ้งไปด้านข้างราวกับถูกเหากัดอย่างไรอย่างนั้น