ผู้สำเร็จเป็นเซียนไม่แตะต้องธัญพืชทั้งห้ากายเซียนส่งกลิ่นหอมรวยรินโดยธรรมชาติ รักษาความสะอาดหมดจดไว้อยู่เสมอ ทว่าสำหรับคนที่เพิ่งเปลี่ยนร่างเช่นพั่วเยวี่ยนั้นไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียรอยู่เลยจึงต้องกินดื่มและอาบน้ำเหมือนมนุษย์ปุถุชน
การยกน้ำและการหยิบเสื้อผ้าจึงเป็นหน้าที่ของสัตว์เซียน แต่การใช้ปากป้อนยาอิ่มทิพย์ คอยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดล้างทำความสะอาดร่างกายเป็นเรื่องที่ต้วนมู่ไป๋ลงมือทำด้วยตัวเองทั้งหมด สำหรับเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่ใช้อาคมชำระกายทำความสะอาดร่างกายนางนั้นแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความต้องการส่วนตัวของเขา
แต่พั่วเยวี่ยไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้หรอก เพราะความเข้าใจของสัตว์เซียนก็เป็นเช่นนี้ เซียนหญิงถามเรื่องไหน พวกมันก็ตอบเรื่องนั้น เซียนหญิงไม่ได้ถามเรื่องท่านเซียนกระบี่ พวกมันจึงไม่มีทางเล่าว่าท่านเซียนกระบี่ทำความสะอาดเรือนร่างของนางทุกสัดส่วนอย่างละเอียดลออหรือว่าดูแลนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าโดยไม่ขาดตกบกพร่องเช่นไร
บางทีอาจเป็นเพราะผลไม้เซียนรวมพลังปราณสำแดงฤทธิ์แล้ว นางจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราครั้งนี้ นอกจากรู้สึกเกียจคร้านเมื่อแรกลืมตาตื่น หลังจากกินดื่มอิ่มหนำสำราญก็สัมผัสได้ว่าภายในกายมีพลังทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จากนั้นร่างกายก็มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม
นางลองกระตุ้นลมปราณในร่าง กลับต้องประหลาดใจที่พบว่าเส้นชีพจรล้วนเปิดโล่งและเชื่อมต่อถึงกัน ไอร้อนสายนี้ไหลวนเวียนทั่วร่างเพราะแรงกระตุ้นจากนาง
ข้ามีลมปราณแล้ว!
พั่วเยวี่ยรู้สึกประหลาดใจระคนยินดีกับสิ่งที่พบจึงรีบออกไปหาต้วนมู่ไป๋ทันทีเพราะอดใจรอไม่ไหว แล้วก็เป็นเหมือนเช่นเคย ข้างหลังมีแมลงตามก้นน่ารำคาญฝูงหนึ่งตามติดหนึบไม่ห่างอีกแล้ว เพียงแต่วันนี้นางอารมณ์ดี ไม่คิดจะถือสาหาความ
นางเดินมาถึงเรือนลั่วสยาอย่างคึกคัก ก่อนย่างเท้าเข้าประตูก็เผยสีหน้าประดับรอยยิ้มหวานหยด
“อาจารย์เจ้าคะ…”
ต้วนมู่ไป๋ที่กำลังจรดปลายพู่กันเขียนอักษรอยู่ที่โต๊ะหนังสือได้ยินเสียงหวานละมุนปานน้ำผึ้งก็เงยหน้าขึ้นมา มองเห็นดวงหน้านางสดชื่นกระจ่างใส ยิ้มแย้มงดงามปานบุปผา นัยน์ตาคู่งามฉายแววฉอเลาะเอาใจมากกว่าปกติ
มุมปากของเขาพลันยกโค้งขึ้น วางพู่กันลงบนโต๊ะแล้วยื่นมือออกไปหานาง
“เป่าเอ๋อร์ มาหาข้าสิ” ท่าทางคล้ายตอบรับนาง ทว่าน้ำเสียงกลับแหบพร่าเย้ายวนกว่าที่เคย
ดูสิดู นัยน์ตาสีเข้มดุจน้ำหมึกแสนลึกล้ำคู่นั้นสะท้อนประกายวิบวับฉ่ำวาว มุมปากยังยกโค้งเป็นรอยยิ้มจางๆ ล่อลวงหัวใจจนคันยุบยิบไปหมด ที่แท้ต่อหน้าธารกำนัลบุรุษผู้นี้แสร้งมีจิตใจดีงามเปี่ยมคุณธรรม ส่วนลับหลังกลับมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับลูกศิษย์ตัวเอง ช่างเป็นบ่อเกิดหายนะชวนให้ลุ่มหลงโดยแท้
โชคดีนางไม่ชื่นชอบบุรุษประเภทนี้ จึงไม่มีทางหลงใหลจนจิตใจว้าวุ่นสับสน
เมื่อครั้งอยู่ในแดนมาร เวลาต้องรับมือกับจอมมารนางก็เสแสร้งแกล้งทำได้อย่างเชี่ยวชาญ ฉะนั้นสีหน้าเคารพนอบน้อมต่อผู้อาวุโสเช่นนี้จึงปั้นออกมาได้สมจริงสมจัง นางเดินมาอยู่ข้างกายเขาแล้วกอดแขนออดอ้อนอย่างน่าเอ็นดู
“อาจารย์ ผลรวมพลังปราณนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ ข้านอนหลับสนิทดีเหลือเกิน วันนี้พอตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายเหมือนเปลี่ยนเป็นคนใหม่ไม่มีผิดเลยเจ้าค่ะ”
ต้วนมู่ไป๋มองสำรวจสีหน้าของนาง เขาพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ท่าทางนอนหลับเต็มอิ่มแล้วจริงๆ”
“นั่นสิๆ ศิษย์รู้สึกว่านอนพักฟื้นสะสมพลังงานไปนานมากก็เลยอยากยืดเส้นยืดสายแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเริ่มฝึกวิชาเซียนได้หรือเจ้าคะ”
ประโยคสุดท้ายสิถึงนับเป็นประเด็นสำคัญ ถ้าขืนนอนหลับต่อไปกระดูกของนางคงขึ้นสนิมเป็นแน่ เริ่มสอนวิชาเซียนให้นางได้แล้วกระมัง พอไม่มีอิทธิฤทธิ์ทำอะไรก็ไม่สะดวกเอาเสียเลย ไม่ต้องเอ่ยถึงท่องเที่ยวทั่วแดนเซียน แม้กระทั่งกลับแดนมารก็ยากลำบากนัก
เขาตอบนางอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องรีบร้อน รออาจารย์ตรวจดูร่างกายเจ้าให้ดีก่อน” ฝ่ามือใหญ่หนากุมมือนางไว้ ดึงร่างบางเข้ามาอยู่ตรงหน้า ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้ใบหน้านางพร้อมโน้มกายไปข้างหน้า ใบหน้าของเขาเลื่อนเข้าประชิดไปทีละนิด จ้องมองนางด้วยแววตาร้อนแรงเจิดจ้า
คนทั้งสองอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ เขามองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตานางด้วยซ้ำ ทว่าแววตาของนางยังคงบริสุทธิ์สดใส หัวใจเต้นสม่ำเสมอมั่นคง ไร้ความเขินอายใดๆ จากการสัมผัสลูบคลำหรือสายตาจับจ้องของเขา
“เป่าเอ๋อร์”
“เจ้าคะอาจารย์”
น้ำเสียงก้องกังวานอีกทั้งยังชัดเจนสงบนิ่ง ไม่มีความประหม่าและอึดอัดเลยสักเศษเสี้ยว
เขาจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง ความคิดหวนย้อนไปถึงเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เขายังจดจำช่วงเวลาที่พบหน้านางเป็นครั้งแรกได้ดี นางยังลั่นวาจากับเขาอย่างฮึกเหิมว่าสักวันนางจะต้องช่วงชิงพรหมจรรย์ของเขา แล้วลักพาตัวกลับแดนมารไปเป็นสามีขุนพลมาร
นางเฝ้าตามเกี้ยวเขา ใช้สารพัดกลยุทธ์ หลากหลายไม่ซ้ำกันสักอย่าง