ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ท่านเซียนอย่ามาหลอก บทที่ 3
นางไม่ใช่สตรีคนแรกที่เปิดเผยความในใจกับเขา แต่กลับเป็นสตรีคนแรกที่เฝ้าล่อลวงเขาอย่างไร้ยางอายมานานกว่าหนึ่งร้อยปี
นางพร่ำบอกไม่ขาดปากว่าต้องการ ‘แต่ง’ เขาเข้าบ้าน ประกาศชัดเจนว่าเห็นหน้าเขาแล้วรู้สึกรักใคร่ชอบพอ บอกว่าท่าทางเย็นชาของเขาสง่างามน่าประทับใจ ขอเพียงนางสนใจใครเข้าแล้ว ต่อให้คนผู้นั้นจะยโสโอหัง เฉยเมยไร้อารมณ์ หรือฉุนเฉียวโมโหร้าย รุ่งเช้าไม่แปรงฟัน ขึ้นเตียงไม่ล้างเท้า ปากสุนัขคายงาช้างออกมาไม่ได้นางล้วนไม่ถือสา แม้กระทั่งกลิ่นผายลมของเขายังหอมชวนดม
ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดนางก็จะตามไปที่นั่น ไม่ว่าลมแรง ฝนตก หิมะโปรย หรือฟ้าผ่าเปรี้ยง นางก็โผล่หน้ามาให้เห็นอยู่ร่ำไป ถ้าหากวันไหนนางปลีกตัวมาไม่ได้ก็จะให้คนส่งดอกบัวดอกหนึ่งมาอยู่ข้างกายเขาแทนตัวนาง
กาลเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว คำบอกรักหวานซึ้งกับคำสาบานรักมั่นชั่วนิรันดร์ในวันวานยังดังก้องหูไม่จางหาย ขณะนี้คนทั้งสองอยู่ใกล้กันกว่าครั้งใด นางกลับไม่เขินอายหน้าแดง ลมหายใจไม่ติดขัด สติไม่เลื่อนลอย จิตใจไม่ว้าวุ่น
ผู้คนทั่วหล้าต่างรับรู้ว่าเซียนกระบี่เช่นเขาจิตใจเย็นชา แต่ในสายตาของเขาสตรีนางนี้ต่างหากที่ไร้หัวใจ
พั่วเยวี่ยรออยู่นานกลับไม่ได้ยินเขาเอ่ยประโยคถัดไปเสียที จึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างห้ามไม่อยู่
“อาจารย์ เป็นเพราะร่างกายข้ามีส่วนไหนยังไม่ฟื้นฟูดีใช่หรือไม่เจ้าคะจึงไม่เหมาะจะฝึกวิชา”
ต้วนมู่ไป๋จ้องมองนางเงียบๆ นางไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเสน่ห์ของเขาเลยสักนิด กลับกระวนกระวายเพราะเป็นห่วงว่าจะไม่ได้ฝึกวิชา
เขายกมุมปากยิ้มพลางปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “วางใจเถอะ เจ้ามีลมปราณเต็มเปี่ยม พลังงานร่างกายอิ่มเอิบ แต่ว่าวันนี้เพิ่งตื่นขึ้นมาควรนั่งสมาธิโคจรลมปราณก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกวิชาเถอะ”
นางได้ยินแล้วก็รู้สึกปีติลิงโลด หัวใจที่เคยสงบนิ่งพลันเต้นตึกตักเหมือนมีกวางน้อยพุ่งชนเพียงเพราะคำพูดประโยคนี้ของเขา
“เจ้าค่ะอาจารย์ ข้าจะกลับไปนั่งสมาธิเดี๋ยวนี้”
“ไปเถอะ” เขาปล่อยตัวนางไป
พอได้รับคำอนุญาตจากเขารอยยิ้มของนางยิ่งสว่างเจิดจ้า ในรอบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่นางส่งยิ้มให้เขาจากใจจริง จากนั้นก็รีบร้อนกลับห้องไปสงบจิตใจนั่งสมาธิ
เมื่อคล้อยหลังนางไปแล้วเงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต้วนมู่ไป๋
“ท่านเก็บนางไว้ รังแต่จะเป็นภัยในวันหน้า” น้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้างไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด แต่กลับแผ่รังสีเยือกเย็นชวนให้ผู้คนครั่นคร้าม
ต้วนมู่ไป๋เงยหน้าขึ้นมองบุรุษสวมเสื้อคลุมสีดำที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
ถ้าหากกล่าวว่าต้วนมู่ไป๋ที่สวมเสื้อคลุมสีขาวเงินตลอดตัวให้ความรู้สึกบริสุทธิ์สูงส่ง งามสง่าอยู่เหนือโลกีย์ เช่นนั้นอินเจ๋อที่สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทก็ให้ความรู้สึกมืดมนวังเวง เป็นดั่งคมดาบกระหายเลือด เปล่งประกายเย็นเยียบ
เขาเป็นวิญญาณกระบี่ เป็นราชันเหนือกระบี่ทั้งปวง ผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน เปรอะเปื้อนคราบคาวเลือดมาไม่รู้เท่าใด หลังจากต้วนมู่ไป๋กำราบจนสิ้นฤทธิ์ก็ลงนามในพันธสัญญาร่วมกันกลายเป็นวิญญาณผูกพันธะของเขา
ต้วนมู่ไป๋อาศัยการฝึกกระบี่สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า วิชากระบี่บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว อีกทั้งยังกำราบอินเจ๋อมาเป็นวิญญาณผูกพันธะของเขาได้ นับตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนเขาใช้กระบี่ซื่อหมัวเอาชนะจอมมาร จึงได้ฉายาเซียนกระบี่มาด้วยเหตุนี้เอง
อินเจ๋อร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ไม่เคยเห็นเขาพูดจาไว้หน้าเซียนหญิงหรือปีศาจสาวตนใดมาก่อน จนกระทั่งพั่วเยวี่ยปรากฏกายขึ้น
ต้วนมู่ไป๋ตอบกลับอย่างไม่แยแส “นางไม่ใช่คนของแดนมารแล้ว”
อินเจ๋อแค่นเสียงฮึดฮัดคำหนึ่ง “ต่อให้นางเปลี่ยนร่างกายไปธาตุแท้ก็ยังเป็นเผ่ามาร ท่านไม่กลัวว่านางจะซุกซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้หรือ”
ต้วนมู่ไป๋กลับมองตอบอย่างหยอกเย้า “ปีนั้นมารกระบี่ที่ออกอาละวาดทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนยังยอมสวามิภักดิ์ข้าแล้ว ไยต้องหวั่นเกรงขุนพลเยี่ยนสื่อตัวเล็กๆ ในแดนมารด้วย”
มารกระบี่เป็นฉายาของอินเจ๋อในอดีต ก่อนถูกเซียนกระบี่กำราบเขาเปื้อนคราบคาวเลือดและดูดซับแรงอาฆาตของคนตายมากเกินไป สุดท้ายบำเพ็ญเพียรกลายร่างเป็นมารกระบี่ ก่อภัยพิบัติในแดนมนุษย์ จนกระทั่งต้วนมู่ไป๋กำราบเขาสำเร็จจึงได้รับการชำระล้าง กลายเป็นอาวุธวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในมือเซียนกระบี่มาตั้งแต่นั้น
แม้ว่าความจริงต้วนมู่ไป๋จะมีฐานะเป็นเจ้านาย แต่เขาตระหนักดีว่าอินเจ๋อนิสัยหยิ่งผยอง ในสนามรบฆ่าฟันศัตรูจนคลุ้มคลั่งไม่อาจคุมสติตัวเองได้ จะต้องมีอารมณ์แปรปรวนแน่ ไม่ว่าใครก็มีความทะนงตนทั้งนั้น แล้วนับประสาอะไรกับวิญญาณกระบี่ที่บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ย่อมต้องมีความหงุดหงิดฉุนเฉียวของแม่ทัพอยู่แล้ว
ต้วนมู่ไป๋เข้าใจศาสตร์แห่งการควบคุมคนอย่างถ่องแท้ จะกำราบคนต้องกำราบใจก่อน ถึงเขาจะใช้พลังยุทธ์เอาชนะอินเจ๋อได้ แต่สิ่งที่ทำให้อินเจ๋อยอมสวามิภักดิ์เขาอย่างแท้จริงกลับเป็นการวางตัวในฐานะมิตรสหายอย่างเท่าเทียม
แม้กระทั่งมารกระบี่ที่ธาตุไฟเข้าแทรกในตอนนั้นเขายังกำราบได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงขุนพลเยี่ยนสื่อแห่งแดนมาร ถ้าหากต้องการกล่าวถึงความเป็นมารจริงๆ อินเจ๋อมีเข้มข้นยิ่งกว่าหลายเท่า
“หึ เลี้ยงลูกเสือจะเป็นภัย!” อินเจ๋อไม่แสดงท่าทีชัดเจน
ต้วนมู่ไป๋กลับเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มระรื่น “ต่อให้เป็นแม่เสือโตเต็มวัยก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าหรอก”
อินเจ๋ออดกลอกตาอย่างเอือมระอาไม่ได้ บุรุษผู้นี้มีพฤติกรรมเช่นไรเขารู้เห็นกระจ่างแจ้ง สตรีนางใดถูกตาต้องใจเขา ไม่รู้ว่านับเป็นวาสนาหรือว่าเคราะห์กรรมกันแน่
ผู้คนรับรู้เพียงว่าพั่วเยวี่ยขุนพลเยี่ยนสื่อแห่งแดนมารสิ้นชื่อใต้กระบี่ซื่อหมัวพิฆาตมาร แต่กลับไม่รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เซียนกระบี่คิดคำนวณเอาไว้แล้ว
เขาสังหารสตรีที่รักอย่างสุดหัวใจ ปล่อยนางย้อนกลับมาเกิดใหม่เพื่อให้หลุดพ้นจากเส้นทางมาร หันหน้าเข้าสู่เส้นทางเซียน ในโลกนี้นอกจากพวกเขาสองคนที่รู้ความลับก็ไม่มีบุคคลที่สามล่วงรู้อีก