นางยังมีพลังบำเพ็ญเพียรอ่อนด้อย เมื่อใดเข้าสู่ห้วงอากาศธาตุของการย้ายร่างเปลี่ยนทิศ ถ้าหากไม่ทันระวังหลงทางอยู่ในนี้อาจไม่ได้กลับออกไปอีก ไม่ต้องให้เขากำชับตักเตือนนางก็เป็นฝ่ายกอดเขาแน่นด้วยตัวเอง ถึงตายก็ไม่มีวันปล่อยมือ
พอทิวทัศน์รอบกายเลิกหมุนคว้าง ในที่สุดสองเท้าของพวกเขาก็แตะพื้นดิน ตอนนี้อยู่ในถ้ำหินแห่งหนึ่ง
แม้จะกล่าวว่าเป็นถ้ำหิน แต่ก็เป็นแค่การคาดเดาของนางเท่านั้น บริเวณโดยรอบมีแต่ความมืดมิดไม่สิ้นสุด ไม่มีแสงสว่างใดสาดส่องเข้ามาเลย จึงต้องอาศัยไฟอาคมเซียนที่ต้วนมู่ไป๋เสกขึ้นมาช่วยนำทาง
“ที่นี่คือที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“ถ้ำเก็บสมบัติก้นยอดเขาวั่งเยวี่ย”
พั่วเยวี่ยประหลาดใจยิ่งนัก ตอนนี้ข้ามาอยู่ใต้ยอดเขาวั่งเยวี่ย?
อาวุธวิเศษกับสมบัติล้ำค่าถูกเก็บซ่อนอยู่ในสถานที่ลับของแต่ละดินแดนแต่ละสำนักเสมอมา มีเพียงอยู่ในตำแหน่งผู้กุมอำนาจเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ล่วงรู้เส้นทางเข้าสู่สถานที่ลับ
ถึงนางจะเป็นหนึ่งในสี่ขุนพลใหญ่ของจอมมาร ทว่าสถานที่ลับเก็บสมบัติของเผ่ามาร นอกจากจอมมารกับราชินีจอมมารแล้ว แม้กระทั่งพวกนางซึ่งเป็นสี่ขุนพลใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์ย่างเท้าเข้าไป
หลังจากยืนนิ่งมั่นคงบนพื้นดินนางก็ปล่อยมือจากเขาทันที ตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปเอง
“ระวังเท้าด้วย ถ้าหากพลาดพลั้งแตะต้องค่ายกล ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าคงไม่รอดแน่”
จริงสิ สถานที่ลับเก็บสมบัติจะต้องวางค่ายกลป้องกันผู้อื่นเข้ามาลักขโมยอยู่แล้ว ไม่ได้การ นางไม่อยากเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ จึงรีบกลับไปกอดเขาเอาไว้อีกครั้ง
“อาจารย์ ข้าอยู่กับท่านไม่ไปไหนดีกว่า จะได้ไม่สร้างปัญหาให้ท่านเพิ่มนะเจ้าคะ” ก็แค่กอดเขาเอาไว้เองไม่ใช่หรือ นางไม่ได้ขาดทุนสักหน่อย ผู้อื่นอยากกินเต้าหู้เซียนกระบี่ยังไม่มีโอกาสได้กินเลยนะ
พอเห็นนางเป็นฝ่ายทำตัวติดหนึบกับเขาเองมุมปากของต้วนมู่ไป๋ก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตาแฝงรอยยิ้มจางๆ โอบกอดเรือนร่างงามนวลเนียนหอมกรุ่นเดินไปอย่างอารมณ์ดี
เทียบกับความเอ้อระเหยลอยชายของเขาแล้วพั่วเยวี่ยกลับจ้องมองรอบข้างอย่างระแวดระวังเต็มที่ คิดในใจว่าถ้าหากประกายดาบเงากระบี่โผล่ออกมาจะดึงร่างเขาเป็นโล่มนุษย์กำบังกาย
ทันใดนั้นเขาก็หยุดฝีเท้าลงหลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งถ้วยชา
“ถึงแล้ว” เขากล่าวขึ้น
นางเบิกตาเหลียวซ้ายแลขวา นอกจากความมืดมิดก็ยังเป็นความมืดมิด นางมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
“อาจารย์ อาวุธวิเศษล่ะเจ้าคะ”
“เจ้ามองไม่เห็นรึ”
นางส่ายหน้าด้วยความสงสัย
เขาเองก็มีสีหน้าสับสนงงงวย “รอให้ข้าถามหน่อย นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ถามใคร หรือว่านอกจากพวกเราแล้วที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่อีก?
นางหันมองต้วนมู่ไป๋ก็เห็นเขาตั้งจิตมั่นอยู่กับความมืดมิดว่างเปล่า คล้ายว่ากำลังใช้สัมผัสทิพย์สื่อสาร
ไม่นานนักเขาก็ถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยพึมพำว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้อะไรกันเล่า ท่านเซียนอธิบายออกมาให้ชัดเจนสิเจ้าคะ!
เขากระแอมกระไอให้คอโล่งแล้วถึงกล่าวกับนางว่า “จะกลายเป็นอาวุธวิเศษที่ทุกดินแดนเสาะแสวงหาและชื่นชมบูชา ต้องผ่านการหล่อหลอมมาเนิ่นนานนับพันปีหรือหมื่นปีถึงจะเป็นอาวุธวิเศษทรงอานุภาพ อยู่เหนืออาวุธชิ้นอื่นได้”
นางย่อมรู้ดี แล้วอย่างไรต่อล่ะ
“อาวุธวิเศษเหล่านี้ล้วนมีสัมผัสทิพย์ของตัวเอง พวกมันประสบพบเจอความรุ่งเรืองเสื่อมถอย ความแปรผันของกาลเวลามามากมาย มองเห็นความเป็นไปในโลกหล้านับไม่ถ้วน“
อาวุธวิเศษมีจิตวิญญาณก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เพราะฉะนั้น?
“เพราะฉะนั้นพวกมันมีสายตาสูงส่งมากทีเดียว พอมีประสบการณ์โชกโชนจึงหยิ่งทะนงในความสามารถของตัวเอง แล้วก็ไม่ค่อยเห็นคนตัวเล็กตัวน้อยอยู่ในสายตา…”
พั่วเยวี่ยเบิกตากว้าง พยายามคิดทบทวนคำพูดของเขา