ไม่เห็นคนตัวเล็กตัวน้อยอยู่ในสายตา? ในที่นี้นับว่าข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำต้อยที่สุด ดังนั้นคนตัวเล็กตัวน้อยที่ว่าคงหมายถึงข้าสินะ
เส้นเลือดตรงขมับนางกระตุกเบาๆ
“อาจารย์จะบอกว่าสาเหตุที่ข้ามองไม่เห็นเป็นเพราะพวกมันไม่อยากให้ข้าเห็นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ต้วนมู่ไป๋กระแอมเบาๆ อีกครั้ง “พวกอาวุธวิเศษมักจะหยิ่งผยองเช่นนี้แหละ”
บ้าเอ๊ย!
นางนึกว่าการประจบเบื้องบน เหยียบย่ำเบื้องล่าง อาศัยอำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่นจะปรากฏแค่ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าอาวุธวิเศษที่บำเพ็ญเพียรจนมีจิตวิญญาณก็มีพวกสายตาสุนัขมองคนต่ำต้อย* อยู่ด้วย!
ในอดีตเมื่อครั้งนางเป็นขุนพลเยี่ยนสื่อ รูปโฉมงามล้ำเลื่องลือไปไกล มีอาวุธวิเศษมากมายยอมศิโรราบใต้ชายกระโปรงสีทับทิม ยื้อแย่งกันลงนามในพันธสัญญาชั่วชีวิตเพื่อกลายเป็นวิญญาณผูกพันธะของนาง นางยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย มีหรือจะรู้ว่าวันหนึ่งพอพยัคฆ์ตกที่ราบ** สัตว์เดรัจฉานในแดนเซียนนางก็เอาชนะไม่ได้ ตอนนี้แม้กระทั่งอาวุธวิเศษก็กล้ารังเกียจนาง
อยากด่าคน อยากต่อยตีคน อยากเตะคนยิ่งนัก!
แน่นอนว่านี่เป็นแค่เสียงในใจของนาง ยามอาศัยใต้ชายคาผู้อื่นจำต้องก้มศีรษะ นางต้องอดทน!
“ข้าทำให้อาจารย์ต้องขายหน้าแล้ว” พั่วเยวี่ยมองต้วนมู่ไป๋อย่างน่าสงสาร ดวงตามีหยาดน้ำใสเอ่อคลอ “ข้าจะตั้งใจฝึกวิชา ไม่ให้ใครดูถูกได้เจ้าค่ะ”
ความหมายของนางก็คือผู้อื่นทำให้ลูกศิษย์ของท่านต้องอับอาย อาจารย์อย่างท่านคนนี้สมควรแสดงท่าทีอะไรบ้างหรือไม่ จะสั่งสอนเจ้าพวกไร้ความเป็นมนุษย์ให้หลาบจำสักหน่อยหรือไม่
ต้วนมู่ไป๋ตบไหล่นางเบาๆ เอ่ยปลอบโยนว่า “อย่าเสียใจไปเลย อาจารย์ไม่กลัวขายหน้า แล้วก็ไม่รังเกียจเจ้าด้วย”
พั่วเยวี่ยรู้สึกคับแค้นใจนัก หมายมั่นว่าวันไหนนางกลายเป็นเซียนผู้ทรงอิทธิฤทธิ์แล้วจะต้องสยบอาวุธวิเศษเหล่านี้จนยอมอยู่ใต้อำนาจนางให้ได้
“แหย่นางเล่นมันสนุกนักหรือ” ผู้ที่เอ่ยถามประโยคนี้ก็คืออินเจ๋อ
ต้วนมู่ไป๋ตวัดสายตามอง เห็นอีกฝ่ายยกสองแขนกอดอก ยืนเหล่ตามองเขาอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
แม้อินเจ๋อจะเป็นวิญญาณผูกพันธะของเขา ทว่าต้วนมู่ไป๋กลับไม่ควบคุมอีกฝ่ายไว้ มีเพียงยามจำเป็นถึงเอ่ยเรียกให้มาหา นอกนั้นจะปล่อยให้อินเจ๋อเดินทางไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนตามอำเภอใจ อยากจะไปที่ไหนก็ไปได้เลย
“เจ้าไม่ได้ไปแดนมนุษย์หรือ” เขาเอ่ยถามยิ้มๆ
อินเจ๋อแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “เจ้าพวกนั้นกินอยู่ตะกละตะกลาม การงานกลับเกียจคร้าน ทิ้งวิชาไปเปล่าๆ พอเข้าสนามรบถ้าไม่แขนขาขาดก็ตัดเอวขาด เป็นพวกเศษสวะแท้ๆ น่าขายหน้าสิ้นดี”
เจ้าพวกนั้นที่อินเจ๋อหมายถึงคืออาวุธยุทโธปกรณ์ ปกติถ้าหากไม่ถูกนำมาลับคมก็จะกลายเป็นอาวุธทื่อๆ พอถึงเวลาเข้าสู่สนามรบไม่ถูกฝ่ายศัตรูฟันจนแหว่งก็ขาดสะบั้น
วันนี้เขาได้ยินว่าแดนมนุษย์เกิดศึกสงคราม ในฐานะเทพแห่งสงครามที่อาวุธทั้งหลายเคยเทิดทูนบูชา กลิ่นคาวเลือดในสนามรบกระตุ้นความกระหายเลือดของเขาไม่น้อย จึงเดินทางไปชมดูเรื่องสนุกด้วยความสนอกสนใจ กลับพบเห็นคนรุ่นหลังกลุ่มหนึ่งทำให้เขาอับอายขายหน้า ด้วยเหตุนี้ถึงได้โมโหเดือดดาล กลับมาด้วยความผิดหวัง
เมื่อรู้ว่าต้วนมู่ไป๋พาพั่วเยวี่ยมายังถ้ำเก็บสมบัติใต้ยอดเขา เขาก็เลยตามมาดูด้วย
“ท่านแกล้งหยอกแม่นางน้อยเล่นอีกแล้วสิ?”
“เปล่าเลย แค่พานางมาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น”
“อาจารย์ ท่านกำลังคุยกับอาวุธวิเศษหรือเจ้าคะ”
บุรุษทั้งสองหันไปมองพั่วเยวี่ยที่มีสีหน้าคับแค้นใจพร้อมกัน อินเจ๋อชี้หน้านางแล้วมองต้วนมู่ไป๋อย่างเหยียดหยาม “ท่านบังตาของนางเอาไว้ แม้แต่ข้าก็มองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียง จะเรียกว่าเปิดหูเปิดตาได้อย่างไร”
ยังกล้าบอกว่าไม่ได้แกล้งหยอกนางอีก
“เป่าเอ๋อร์เด็กดี อาจารย์กำลังคุยกับอาวุธวิเศษอารมณ์ร้ายชิ้นหนึ่งอยู่น่ะ”
“…” อินเจ๋อที่ถูกกล่าวหาว่าอารมณ์ร้ายเริ่มมีโทสะขึ้นมาจริงๆ แล้ว