นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ใกล้กับวิญญาณผูกพันธะของเซียนกระบี่ปานนี้ มารกระบี่ที่ดำรงอยู่มานานนับหมื่นปีแล้วยังเป็นถึงราชันเหนือกระบี่ทั้งปวง คนผู้นี้มีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง เพียงแค่ยืนอย่างเฉยชาอยู่ตรงนั้นก็สร้างบรรยากาศข่มขวัญมากพอแล้ว
“ที่แท้ท่านนี้ก็คือราชันเหนือกระบี่ทั้งปวงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วสี่ทะเล ข้าน้อยเยวี่ยเป่า คารวะราชันกระบี่” นางยอบกายคารวะครั้งหนึ่ง สิ่งของพันหมื่นอาจหมดประโยชน์ ประจบสอพลอไว้มีประโยชน์แน่นอน อย่างไรปากหวานเอาไว้ก่อนไม่มีผิดพลาดแน่
อินเจ๋อมองหน้านาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเรียกข้าอาจารย์ปู่ก็ได้”
หา? นางนิ่งอึ้งไป
“เรียกอาจารย์อาก็พอแล้ว” ต้วนมู่ไป๋ยิ้มกว้างกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็เหล่ตามองอินเจ๋อแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเริ่มพูดจาหยอกล้อ ทั้งยังถือโอกาสเอาเปรียบเขาด้วย
พั่วเยวี่ยรู้สึกทั้งตลกขบขันทั้งเหลือเชื่อ นอกจากนางจะกลายเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่ ยังมีอาจารย์อามารกระบี่เพิ่มมาอีกคนด้วย
ในเมื่อต้วนมู่ไป๋กอดนางไว้อยู่แล้วก็ถือโอกาสกอดรัดไม่ยอมปล่อย เขาพานางเดินมาถึงหน้าโพรงหินแห่งหนึ่ง โพรงหินมีม่านพลังเซียนเปล่งรัศมีจางๆ แต่ละโพรงหินจะมีอาวุธวิเศษหนึ่งชิ้น
ถ้าหากจะหยิบอาวุธวิเศษก็ต้องผ่านม่านพลังเซียนไปให้ได้เสียก่อน
“ของวิเศษพวกนี้เจ้าเห็นแล้วจะต้องชอบแน่ๆ” เขากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ยื่นนิ้วไปแตะเบาๆ ม่านพลังเซียนก็หายลับไปท่ามกลางสายตารอคอยของนางจนเผยให้เห็นอาวุธวิเศษข้างใน
นี่คือขลุ่ยที่มีสีพื้นเป็นสีฟ้าครามพร้อมด้วยลวดลายแกะสลักสีดำ ทันทีที่เห็นขลุ่ยเลานี้พั่วเยวี่ยก็มีสีหน้าบึ้งตึง
“เป่าเอ๋อร์ ขลุ่ยเลานี้ไม่ใช่ขลุ่ยธรรมดา เจ้ารู้ความเป็นมาของมันหรือไม่”
ย่อมรู้อยู่แล้ว นางไม่ใช่แค่รู้ แต่ยังเกือบแย่งชิงขลุ่ยหมิงเยี่ยเลานี้มาได้ด้วย!
“ตอนนั้นอาจารย์บุกฝ่าป่าปีศาจตามลำพังเพื่อตามหาขลุ่ยเลานี้ นี่เป็นขลุ่ยที่แม่หมอหมิงเยี่ยเหลาขึ้นจากต้นไม้ปีศาจ ผนึกวิญญาณต้นไม้ปีศาจไว้ข้างในให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับขลุ่ย ดังนั้นเสียงขลุ่ยจึงสามารถ…”
เสียงขลุ่ยสามารถสื่อสารกับเหล่าแมลง หมู่นก และสัตว์สี่เท้าได้ ผู้ใดครอบครองมันจะควบคุมสั่งการแมลงและสัตว์เหล่านั้นได้ ในอดีตนางต้องการขลุ่ยเลานี้ เคยบุกลึกเข้าไปในป่าปีศาจตามหาแม่หมอหมิงเยี่ย ผลปรากฏว่า…
“ผลปรากฏว่าตอนอาจารย์ออกตามหาขลุ่ยเลานี้ เจ้าลองเดาดูสิ อาจารย์พบใครเข้า”
มารดามันเถอะ เจ้าพบข้าเข้าน่ะสิ!
“พบใครหรือเจ้าคะ” ดวงตางดงามของพั่วเยวี่ยกะพริบปริบๆ อย่างไร้เดียงสา เอ่ยถามเขาด้วยความอยากรู้
ต้วนมู่ไป๋ยิ้มกว้างด้วยความคิดถึง น้ำเสียงยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดกว่าเดิม
“อาจารย์พบกับขุนพลเยี่ยนสื่อแห่งเผ่ามาร นางชื่อพั่วเยวี่ย เป็นหนึ่งในสี่ขุนพลใหญ่ใต้บัญชาการของจอมมาร ข้ากับนางต่างสนใจขลุ่ยเลานั้นทั้งคู่ ช่างบังเอิญเสียจริง”
“นั่นสิเจ้าคะ ช่างบังเอิญนัก” พั่วเยวี่ยหัวเราะแห้งๆ ทว่าในใจสาปส่งเขาเป็นร้อยรอบ ขลุ่ยถูกเขาแย่งชิงไปทำให้นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะเรื่องนี้อยู่หลายเดือนเลยทีเดียว
“นางบอกว่าไม่อยากแย่งชิงกับคนที่รักสุดหัวใจ ก็เลยเป็นฝ่ายยอมถอยด้วยตัวเองแล้วยกขลุ่ยให้อาจารย์”
พูดจาเหลวไหล นางสู้เขาไม่ได้ จำต้องกลืนฟันที่โดนต่อยร่วงพร้อมเลือดยอมยกให้เขาไปอย่างไรเล่า!
ต้วนมู่ไป๋โอบเอวนางไว้ เดินลงไปในโพรงหินแห่งหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “มา พวกเราไปดูอาวุธวิเศษกัน”
พั่วเยวี่ยมองขลุ่ยเลานั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ แอบหัวเราะชั่วร้ายในใจ ไม่เป็นไร หอศาลาใกล้น้ำไม่ช้าก็เร็วขลุ่ยจะเป็นของข้าแน่
“อาวุธวิเศษชิ้นต่อไปร้ายกาจยิ่งกว่า เจ้าดูสิ”
พอพั่วเยวี่ยเหลียวมองดวงตาทั้งสองก็เบิกกว้างอีกครั้ง รูม่านตาขยายใหญ่กว่าเดิม
หางจิ้งจอกทองคำ!