เสียงสะอื้นไห้ในตำหนักสี่ปี้แข่งกันดังระงมราวกับอยู่ในการแข่งขัน ซ้ำยังดังขึ้นเรื่อยๆ เซียวฉางหนิงสวมชุดแต่งงานสีแดงสดทับบนชุดขาวแสดงความอาลัยนั้น แล้วจึงสวมมงกุฎหงส์ ม่านพู่ทองแถวหนึ่งตรงหน้าผากห้อยลงบดบังสายตาจนมองเห็นไม่ชัดเจน
ผ่านไปชั่วครู่ ขันทีจากสำนักกิจการฝ่ายในก็ถือแส้ขนจามรีมารายงานว่า “องค์หญิงใหญ่ฉางหนิง เหล่ากงกง จากสำนักบูรพามารับเจ้าสาวแล้ว หากทรงเตรียมตัวพร้อมแล้ว ตามกระหม่อมขึ้นเกี้ยวออกจากวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เพิ่งสิ้นเสียงพูดก็มีขันทีของสำนักบูรพายี่สิบกว่าคนทยอยเดินเข้ามา แยกตั้งแถวเป็นสองด้าน ทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าหยาบสีน้ำตาล สวมหมวก รองเท้าหุ้มข้อ และห้อยดาบพกกระบี่ ทั้งดูอ่อนโยนและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
ขันทีใหญ่สองคนที่เป็นผู้นำบนเสื้อผ้าปักดิ้นทองดิ้นเงิน แค่มองก็รู้ว่ามีฐานะไม่ธรรมดา เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนใดในนั้นจึงจะเป็นผู้บัญชาการสำนักบูรพาที่ทำให้คนได้ยินชื่อก็หวาดกลัวได้
พอถึงเวลาเซียวฉางหนิงพลันรู้สึกตื่นกลัวกว่าที่คิดเอาไว้ นางถอยหลังหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ สิบนิ้วลอบประสานกันแน่นจนแทบจะกระตุกแขนเสื้อที่ปักไว้อย่างประณีตจนขาด
นางลอบมองคนที่มาผ่านช่องว่างของม่านพู่ทองที่ห้อยลงตรงหน้าผากอย่างตื่นกลัว
นางเห็นเพียงขันทีคนที่ยืนหัวแถวด้านขวาผิวพรรณขาวเนียน ขนตาและดวงตาเรียวยาว หน้าตาหมดจด กระทั่งกิริยาท่าทางก็ยังคล้ายสตรี เวลานี้กำลังกรีดนิ้ว ใช้มีดเล็กเล่มหนึ่งแต่งเล็บนิ้วกลาง ลากเสียงยาวเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “วันนี้วันมงคล เหตุใดพวกเจ้าต่างร้องไห้ฟูมฟายกันเล่า”
ในเสียงแหลมเล็กของขันทีผู้นั้นแฝงไอสังหารไว้หลายส่วน เซียวฉางหนิงรู้สึกเคร่งเครียด ลอบเอ่ยกับตนเองในใจว่าแย่แล้ว หรือคนผู้นี้ก็คือเสิ่นเสวียน!
เจ้าหน้าที่ของสำนักบูรพามาถึงอย่างทรงอำนาจ คนตำหนักสี่ปี้ตกใจจนนิ่งงัน ฮ่องเต้น้อยเม้มปาก น้ำตาหนึ่งหยดเกาะอยู่บนขนตาจะหยดก็ไม่หยด เซียวฉางหนิงเองก็ไม่ดีไปกว่ากัน มือไม้สั่นเทามองขันทีหน้าตาอ่อนโยนหมดจดผู้นั้น แล้วเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “เสิ่น…เสิ่น…เสิ่น…”
ขันทีหน้าตาอ่อนโยนกรีดนิ้ว กลอกตารอบหนึ่ง ก่อนคำนับสองพี่น้องอย่างเชื่องช้า “องค์หญิงใหญ่ทรงเรียกใครว่าอาสะใภ้ หรือ กระหม่อมฟางอู๋จิ้ง หัวหน้าหน่วยมังกรคราม ปีนี้อายุยี่สิบห้า ไม่อาจหาญเป็นอาสะใภ้ขององค์หญิงใหญ่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้น้อยดึงแขนเสื้อของเซียวฉางหนิง แล้วกระซิบพูดข้างหูของนาง “พี่หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่เสิ่นเสวียน”
เซียวฉางหนิงผ่อนลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ยังดีที่เสิ่นเสวียนไม่ใช่คนกระตุ้งกระติ้งผู้นี้…
“นี่ข้าถามพวกเจ้าอยู่นะ วันมงคลดีๆ เช่นนี้ร้องไห้เศร้าเสียใจอะไรกัน” ฟางอู๋จิ้งกระดกนิ้วที่เรียวยาวจนมีดเล็กหมุนรอบนิ้วมือพลางมองทุกคนด้วยสีหน้าเย็นชา “กลั้นน้ำตาเดี๋ยวนี้!”
ทุกคนเบิกตาโตทันใด พยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมา
“ฟางกงกงอย่าถือสาเลย พวกนางเพียงร้องไห้เป็นพิธีน่ะ”
เซียวฉางหนิงพยายามกระตุกมุมปากขึ้นคราหนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงเลื่อนสายตาไปที่ตัวขันทีใหญ่ตรงหัวแถวด้านซ้าย…
จากนั้นนางพลันตัวแข็งทื่อไปหมด
ขันทีผู้นี้มือเท้าเรียวยาว ใบหน้าเรียบร้อยหล่อเหลา มือถือคันธนูยาว สะพายกระบอกลูกธนูไว้ด้านหลัง ท่าทางองอาจกล้าหาญ แต่สีหน้าเย็นชาแข็งกระด้าง ทั้งตัวมีกลิ่นอาย ‘ห้ามคนเข้าใกล้’ แผ่กระจาย…
หรือว่าจะเป็นเสิ่นเสวียน
“องค์หญิงใหญ่ไม่ต้องมองแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าผู้บัญชาการมีเรื่องด่วนต้องจัดการ วันนี้จึงไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่ให้พวกกระหม่อมมารับเจ้าสาวแทนพ่ะย่ะค่ะ” ฟางอู๋จิ้งราวกับว่ามองออกถึงความกังวลของเซียวฉางหนิง จึงเลื่อนมีดเล็กระหว่างนิ้วใส่กลับเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนยกมือชี้ไปยังคนหนุ่มหน้าตายที่ถือคันธนูผู้นั้นแล้วแนะนำว่า “นี่คือเจี่ยงเซ่อ หัวหน้าหน่วยหงส์แดง”
ทั้งสองคนประกบหมัดคำนับ คุกเข่าข้างเดียว พูดพร้อมกันว่า “ขอคารวะฮูหยินผู้บัญชาการ”
จากนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ของสำนักบูรพาที่ยืนเรียงสองแถวตั้งแต่หน้าประตูห้องถึงกลางลานตำหนักพากันคุกเข่าแล้วเอ่ยเสียงแหลมพร้อมกัน “คารวะฮูหยินผู้บัญชาการ!”
ฮ่องเต้น้อยเซียวหวนสูดจมูก พูดเสียงเบาอยู่ด้านข้าง “ฟางอู๋จิ้งกับเจี่ยงเซ่อ คนหนึ่งเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งจากมือสังหารหลายร้อยคนของสำนักบูรพา อีกคนหนึ่งว่ากันว่าเป็นมือธนูขั้นเทพ สามารถยิงธนูถูกใบหลิวที่ห่างออกไปมากกว่าร้อยก้าวได้ เป็นมือซ้ายมือขวาของเสิ่นเสวียน หากใครคนใดคนหนึ่งก้าวออกมาสักคนก็ล้วนแต่ทำให้ขุนนางราชสำนักตัวสั่นได้!”
แค่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กี่คนเดินทางมาก็ทำให้ทุกคนในตำหนักสี่ปี้กลัวจนสติแตกกระเจิงแล้ว หากเสิ่นเสวียนลงสนามด้วยตนเอง ไม่รู้ว่าจะเกิดลมฝนคาวเลือดอะไรขึ้นบ้าง!