เซียวฉางหนิงพลันรู้สึกว่าชีวิตตนเองคงไม่ยืนยาวแล้ว!
“ไทเฮาเสด็จ!”
หลังจากเสียงตะโกนดังขึ้น มีคนจำนวนหนึ่งติดตามเหลียงไทเฮาในชุดพิธีการผ่าหน้าแขนกว้างพื้นดำลายม่วงเข้ามาในที่นั้น ทำลายบรรยากาศตึงเครียดน่าประหลาดในตำหนักสี่ปี้
“ถวายพระพรไทเฮา” ฟางอู๋จิ้งนำทุกคนคำนับเป็นพิธี จากนั้นก็โบกมือพูดว่า “ได้เวลามงคลแล้ว เชิญองค์หญิงใหญ่ขึ้นรถม้าออกเดินทาง ใต้เท้าผู้บัญชาการยังรอเข้าห้องหออยู่ที่สำนักบูรพานะพ่ะย่ะค่ะ”
พอเซียวฉางหนิงได้ยินคำว่า ‘เข้าห้องหอ’ ก็สั่นไปทั้งตัว กุมมือเซียวหวนไว้แน่น มองเขาเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
เข้าห้องหอ? ใครก็ได้บอกข้าที ขันทีจะเข้าห้องหออย่างไร!
หรือจะฆ่าข้าทิ้งแล้วฝังลงดินพร้อมกับ ‘ของล้ำค่า’ ของเสิ่นเสวียนที่ถูกตอนทิ้งท่อนนั้น เป็นการแต่งงานของคนตาย?
เซียวฉางหนิงคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้นแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ฟันกระทบกันดังกึกๆ
“ช้าก่อน” เหลียงไทเฮาพูดเสียงเข้ม “แม้อดีตฮ่องเต้จะทรงมีพระเมตตาให้เกียรติแต่งตั้งเสิ่นเสวียนเป็น ‘พระเก้าพันปี’ แต่เขายังถือเป็นราชบุตรเขยของต้าอวี๋อีกด้วย เหตุใดจึงไม่มารับฉางหนิงด้วยตนเอง”
“ขอไทเฮาอย่าทรงถือโทษเลยพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าผู้บัญชาการมีภารกิจมากมาย ปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ” เผชิญกับสายตามืดมนของเหลียงไทเฮา ฟางอู๋จิ้งกลับแย้มรอยยิ้มงดงามราวกับอยู่ในห้วงรัก “อีกอย่างหากไม่มีใต้เท้าผู้บัญชาการที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน ไทเฮาจะทรงมีชีวิตสงบเป็นสุขเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า!” ห้านิ้วใต้แขนเสื้อของเหลียงไทเฮากำแน่น นางกลั้นลมหายใจอยู่นานก่อนจะพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “ฉางหนิงอย่างไรก็เป็นสายเลือดราชวงศ์ นางแต่งงานไปสำนักบูรพาครั้งนี้อย่าลืมเรื่องที่ผู้บัญชาการเสิ่นรับปากข้าไว้!”
“ไทเฮาวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงทางไทเฮากับองครักษ์เสื้อแพร ไม่ก่อเรื่องอะไร ตำแหน่งฮ่องเต้ของสกุลเซียวย่อมนั่งได้อย่างมั่นคงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ฟางอู๋จิ้งพูดพลางกวาดดวงตาเรียวยาวของตนเองเหล่มองไปที่ตัวเซียวฉางหนิงในชุดพิธีการสีแดงสดแล้วทำท่าผายมือเชิญ “องค์หญิงใหญ่ เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
ริมฝีปากแดงของเซียวฉางหนิงเผยอเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงสงบสติได้ พูดด้วยลมหายใจสั่นเล็กน้อย “ตงซุ่ย ไปอุ้มหู่พั่วมา”
หู่พั่วคือแมวกระดองเต่า ตัวหนึ่งที่เซียวฉางหนิงเลี้ยงเอาไว้ ซึ่งได้มาจากอดีตฮ่องเต้ที่เคยมอบไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้นางเมื่อสองปีก่อน ตำหนักในลึกล้ำยากหยั่ง หนึ่งคนหนึ่งแมวอยู่ด้วยกันมาสองปีจนเกิดความผูกพันกันแล้ว ออกเรือนครั้งนี้นางจะนำมันไปด้วย ต่อให้วันหน้าไปสู่ปรโลกแล้วก็ยังสามารถคอยดูแลกันได้
นางกำนัลนามว่าตงซุ่ยเช็ดน้ำตาพลางอุ้มแมวมา แมวขนลายน้ำตาลดำตัวนี้นิสัยหยิ่งทะนงอย่างยิ่ง มันไม่ชอบเข้าใกล้คนแปลกหน้า จึงยกกรงเล็บข่วนแขนของตงซุ่ยทีหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของเซียวฉางหนิง
เซียวฉางหนิงมองแมวกระดองเต่าท่าทางเกียจคร้านในอ้อมกอดก็รู้สึกถึงความเศร้าสลดขึ้นมา
หู่พั่วเอ๋ยหู่พั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันเวลาที่ดีของพวกเรามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
หู่พั่วร้อง “เหมียว” เสียงหนึ่งอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว หรี่ตาสัปหงก
ตอนออกเรือน สุดท้ายเซียวฉางหนิงก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สองพี่น้องจูงมืออำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ ร้องไห้น้ำตาร่วงหล่นดั่งสายฝน ราวกับกำลังแสดงฉากจากเป็นจากตายกัน เสียเวลากันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดรถเจ้าสาวแต่งผ้าแดงก็ได้เคลื่อนออกจากวัง
รถเจ้าสาวออกทางประตูเสวียนอู่ เคลื่อนเลียบกำแพงวังผ่านประตูตงหวา ผ่านคูเมือง แล้วตรงไปที่สำนักบูรพา
คนที่มาดูความคึกคักบนถนนมีจำนวนมาก แต่ไม่มีใครโห่ร้องแสดงความยินดีแม้สักคน ทุกคนต่างมีสีหน้าเห็นใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหล่าคุณชายที่รักหยกถนอมบุปผา* ลอบติดแถบผ้าขาวไว้บนแขน ไว้อาลัยให้แก่องค์หญิงใหญ่ที่ใกล้จะตายตั้งแต่วัยเยาว์
“น่าสงสารเสียจริง หญิงสาวที่งดงามราวหยกราวบุปผากลับต้องแต่งไปเป็นม่ายให้แก่ขันทีคนหนึ่ง”
“บ้านเมืองเลวร้ายลงทุกที…”
“สำนักบูรพากำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ช้าเร็วต้องถูกผลกรรมตามสนองแน่นอน!”
“ชู่! เจ้าหน้าที่ของสำนักบูรพามีอยู่ทั่วทุกที่ พูดอะไรระวังสักนิดเถิด!”
น่าเสียดาย เสียงพร่ำบ่นถึงความอยุติธรรมที่เบาบางเหล่านี้ถูกเสียงเป่าแตรตีกลองอันรื่นเริงกลบไปอย่างรวดเร็ว