สุรานี้ฤทธิ์แรงยิ่งนัก แรงจนนางน้ำตาแทบไหลลงมาแล้ว
มีช่วงเวลาหนึ่งเซียวฉางหนิงถึงขั้นคิดว่าอยากจะตายไปเช่นนี้เสียเลย นางไม่สนใจว่าจะเป็นสุราพิษหรือคมดาบ! ไม่จำเป็นต้องตกใจเงาคันธนู งูในถ้วย* ไม่จำเป็นต้องหาช่องเล็กๆ เพื่อเอาชีวิตรอด มาอย่างขาวสะอาด ไปอย่างขาวสะอาด
แต่ความคิดนี้เพียงแค่ผุดขึ้นมาในศีรษะ ครู่เดียวก็หายไปจนสิ้นแทนที่ด้วยหยดน้ำตาไหลรินลงมา
เซียวฉางหนิงไม่อยากตาย นางเพิ่งอายุสิบเจ็ด ขอเพียงมีชีวิตผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ มีชีวิตยืนยาวอีกสักนิดก็ยังดี
ภายในห้องเงียบไปชั่วครู่ มีเพียงเสียงไส้เทียนที่ถูกเผาไหม้ เสิ่นเสวียนกวาดตามองเซียวฉางหนิงที่หางตาแดงเรื่ออย่างเงียบๆ ความเคืองขุ่นในดวงตาหายไปเล็กน้อย เขาเอ่ยเตือนสติว่า “สุราค่อนข้างแรง องค์หญิงใหญ่ยังไม่ได้เสวยอาหาร เช่นนี้ไม่ดีต่อกระเพาะ”
เซียวฉางหนิงจับชายแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ข้ายังไม่อยากกิน”
องค์หญิงน้อยผู้นี้ดูเหมือนอ่อนแอ แต่นิสัยกลับหยิ่งทะนงอย่างมาก
เสิ่นเสวียนที่รูปร่างแข็งแกร่งสูงใหญ่ยืนขึ้น เขาก้มมองสำรวจเซียวฉางหนิงที่ตื่นตระหนกเหมือนนกตื่นธนู ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังนับว่าสงบนิ่ง “กระหม่อมไม่ชอบฟังคำพูดหดหู่ และไม่ชอบให้สวมชุดขาวในคืนวันแต่งงาน ขอให้องค์หญิงใหญ่ทรงถอดชุดไว้ทุกข์นั่นออกด้วย”
“ข้าไม่ถอด” เซียวฉางหนิงแอบจับสาบเสื้อไว้แน่น แล้วพูดด้วยหน้าแดงเรื่อ “ถอดออกก็คงเปลือยแล้ว”
เสิ่นเสวียนเลิกคิ้วขึ้น ตัดสินใจว่าจะไม่สนใจนาง เขาถอดเสื้อชั้นนอกของตนเองออก เผยให้เห็นชุดอู่เผาแขนสอบสีดำข้างใน มือเท้าของเขาเรียวยาว ไหล่กว้างเอวสอบ รูปร่างสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่เซียวฉางหนิงไม่มีแก่ใจชื่นชมเลย เพียงพูดอย่างระวังตัวว่า “ท่านจะทำอะไร”
เสิ่นเสวียนย้อนถาม “เวลานี้แล้ว ดึกดื่นค่ำคืน กระหม่อมจะทำอะไรได้”
ก็ต้องถอดเสื้อเข้านอนน่ะสิ
เขาพูดพลางใช้น้ำเย็นในอ่างล้างหน้า งอนิ้วมือคลายแถบรัดข้อมือและแถบรัดเอว เสื้อคลุมสีดำเปิดกว้างพาดติดตัว จากนั้นก็ถอดหมวกเคลือบทองออก ส่งผลให้ใบหน้าใต้แสงเทียนของเขาพลิ้วไหวดูคมกริบงดงามยิ่งขึ้น
เสิ่นเสวียนนั่งลงบนเตียง เซียวฉางหนิงก็ลุกยืนทันที ก่อนขยับห่างจากเขาเล็กน้อยอย่างระวังตัว
เสิ่นเสวียนมองการเคลื่อนไหวเล็กน้อยทุกอย่างของนาง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงหยิบผ้าเปียกที่เซียวฉางหนิงปัดทิ้งไว้ก่อนหน้า เช็ดข้อนิ้วที่เรียวยาวของตนเองช้าๆ แล้วพูดว่า “กระหม่อมจำได้ ที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่ไม่ชอบขันที?”
จบกัน นี่เป็นลางบอกเหตุว่าเขาจะคิดบัญชีเก่า!
เป็นจริงดังคาด เสิ่นเสวียนโยนผ้าลงในอ่างสำริดอย่างแม่นยำ ก่อนลุกขึ้นแล้วเดินเข้าใกล้เซียวฉางหนิง “บอกว่ากระหม่อมเป็นคนกระตุ้งกระติ้งรังแกคนต่ำกว่าประจบคนสูงกว่า…ใช่หรือไม่”
นิสัยมีแค้นต้องชำระของขันทีใหญ่เสิ่นสมคำเล่าลือจริงๆ ผ่านไปหกปีแล้ว เขากลับจดจำได้ชัดเจนไม่ตกหล่นสักคำเช่นนี้!
“เสิ่น…เสิ่นเสวียน ท่านจะทำอะไร” เซียวฉางหนิงฟันกระทบกัน ม่านพู่ทองตรงหน้าผากสั่นไหวอย่างแรงไปพร้อมกับร่างกาย
อีกด้านหนึ่ง เสิ่นเสวียนยกมุมปาก ปรายตามองนาง “คืนนี้จะให้องค์หญิงใหญ่ได้เห็นว่ากระหม่อม…กระตุ้งกระติ้งหรือไม่กันแน่!”
เซียวฉางหนิงมองดูชายหนุ่มสง่างามค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ นางน้ำตาคลอ พูดเสียงสั่นว่า “อย่าเข้ามา ข้าขอสั่งท่าน…ถอยๆๆ…ถอยไปเสีย!”
เพราะตื่นเต้นเกินไป ลิ้นที่ไม่เอาไหนของนางถึงขั้นขมวดเป็นปม ท้องก็ปวดบิดเหมือนมีไฟเผาขึ้นมา
เซียวฉางหนิงฝืนสะกดอาการอยากอาเจียน นางก้มตัวกุมท้องเอาไว้
เสิ่นเสวียนเห็นเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาหุบยิ้ม คิ้วยาวขมวดเป็นปม แล้วพูดอย่างจริงจังอยู่หลายส่วน “บอกแล้วว่าดื่มสุราตอนท้องว่างไม่ได้ ไม่ดีต่อกระเพาะจริงๆ”
“ใครจะรู้ว่าท่านแอบวางยาพิษทำร้ายข้าหรือไม่” เวลานี้กระเพาะของเซียวฉางหนิงราวถูกมีดกวาดวน นางเจ็บอย่างยิ่ง แต่อดไม่ได้ที่จะพูดคำประชดประชัน
เสิ่นเสวียนคาดไม่ถึงว่านางดูเหมือนอ่อนแอ แต่กลับมีฝีปากคมกริบเพียงนี้ เขาไม่หาเรื่องกับคนป่วยเช่นนาง จึงเดินเข้าไปประคองนางขึ้นเตียง
เซียวฉางหนิงไม่อยากถูก ‘คนกระตุ้งกระติ้ง’ แตะต้อง นางเอี้ยวหลบเขา เสิ่นเสวียนจึงคว้าข้อมือผอมบางของนางเอาไว้ กึ่งบังคับกดนางลงบนเตียง จากนั้นก็ก้าวยาวจากไปเปิดประตูแล้วพูดว่า “ใครก็ได้มานี่ที”
เสียงยั่วยวนของฟางอู๋จิ้งดังขึ้นหน้าประตู กลั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ใต้เท้า นี่เสร็จกิจแล้วหรือ”
เสิ่นเสวียนปรายตามองอย่างเย็นชา ฟางอู๋จิ้งเงียบเสียงทันที ก้มหน้ารอรับคำสั่ง
ตอนนี้เสิ่นเสวียนจึงสั่งการเสียงเข้มว่า “ทางห้องครัวมีน้ำแกงไก่สดใหม่ สั่งคนอุ่นแล้วยกมา”
เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาทำอะไรรวดเร็วว่องไว เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ น้ำแกงไก่ที่ใส่ในชามกระเบื้องก็ถูกยกเข้ามา
เซียวฉางหนิงถอดมงกุฎหงส์ออกและล้างเครื่องแป้งออกแล้ว จอนผมข้างหูสองด้านของนางเปียกชื้น ทว่าไม่รู้ว่าเปียกจากน้ำล้างหน้าหรือเหงื่อ
เสิ่นเสวียนปิดประตู เขาถึงขั้นลดศักดิ์ศรีมาเทน้ำแกงไก่ร้อนชามหนึ่ง ก่อนยื่นไปตรงหน้าเซียวฉางหนิง ยังคงพูดสองคำเหมือนการออกคำสั่ง “ดื่มเสีย”
เซียวฉางหนิงที่รู้สึกป่วยไม่กล้าระเบิดอารมณ์อีกต่อไป หลังร่างกายเจ็บจนไร้เรี่ยวแรง ปากก็สงบเสงี่ยมลง นางรับถ้วยกระเบื้องเขียวที่ใส่น้ำแกงไก่เอาไว้แต่โดยดี จิบเล็กๆ ไปหลายคำ