เสิ่นเสวียนนั่งอยู่ตรงหน้าเซียวฉางหนิงพลางมองสำรวจนาง รูปร่างสูงใหญ่แทบจะปกคลุมเงาของนางทั้งตัว พอเขาเห็นว่านางจะวางถ้วยลงก็รู้สึกไม่พอใจมาก “ดื่มให้หมด”
เซียวฉางหนิงจำต้องฝืนกลั้นความเลี่ยน ดื่มไปอีกหลายคำ นางถือถ้วยไว้แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ดื่มไม่ลงแล้วจริงๆ”
แต่ว่าเวลานี้ในท้องรู้สึกอบอุ่น ไม่รู้สึกเจ็บแล้วจริงๆ
“คืนวันแต่งงานยังสร้างความยุ่งยากเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่คงจะเป็นคนแรก” เสิ่นเสวียนแม้จะพูดอย่างรังเกียจ แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย
คิดถึงตอนที่อวี๋กุ้ยเฟยยังมีชีวิตอยู่ เซียวฉางหนิงก็นับว่าเป็นคนที่มีความยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัด ตอนที่เขากับนางพบกันครั้งแรกบุปผาหลากสีก็ยังต้านความสูงศักดิ์บนตัวนางไม่ได้ ใครจะรู้ว่าไม่กี่ปีหลังจากนั้นนางจะกลายมาเป็นคนน่าสงสารที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับ ‘ขันที’ เช่นเขา คิดถึงตรงนี้เขาก็พอเข้าใจถึงท่าทางขู่พองขนเช่นนี้ของนางได้
เซียวฉางหนิงวางถ้วยลง แววตาของนางเลื่อนลอยเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่บ้าง
เสิ่นเสวียนถอดเสื้อของตนเองพลางกล่าวว่า “ขึ้นเตียง นอนได้แล้ว” เขายังคงใช้น้ำเสียงเย็นชาดังเดิม แต่ไม่มีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อกันเหมือนก่อนหน้านี้
เซียวฉางหนิงมองเตียงหลังเดียวภายในห้องปราดหนึ่ง ยืนนิ่งไม่ขยับ
เกือบลืมไปแล้วว่าองค์หญิงน้อยผู้นี้อย่างไรก็สูงศักดิ์ยิ่งนัก ทั้งยังรังเกียจขันทีที่สุด แล้วนางจะนอนร่วมเตียงกับ ‘ขันที’ ได้อย่างไร
เสิ่นเสวียนมองนางด้วยสายตาเย็นชา “หากองค์หญิงใหญ่ไม่ทรงยินดีจะลดศักดิ์ศรีมาบรรทมกับกระหม่อม เช่นนั้นก็ต้องรบกวนให้ท่านบรรทมบนตั่งพักเท้าก็แล้วกัน”
ข้างเตียงมีตั่งพักเท้ากว้างสามฉื่อ* อยู่หนึ่งตัว ปูพรมปอซือ ที่อ่อนนุ่ม ตั่งพักเท้านั่นเดิมทีเป็นจุดพักผ่อนที่เหล่าสาวใช้ปรนนิบัติเจ้านายที่ตื่นตอนกลางคืน แต่สำนักบูรพาไม่มีสาวใช้ ตั่งพักเท้านี้จึงสะอาดอย่างยิ่งและว่างอยู่ตลอด
เซียวฉางหนิงไปนั่งบนตั่งพักเท้านั้นจริงๆ อย่างไม่ได้คิดอะไร
เสิ่นเสวียนแววตาเคร่งขรึม ไฟโทสะในใจลุกโชนขึ้นทันใด ความเห็นใจเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ถูกโยนทิ้งหายไปไกลในพริบตา
เขายกแขนดับแสงเทียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย รอบข้างจมอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจันทร์นวลที่สาดเข้ามาทำให้ภายในห้องดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ
ตั่งพักเท้าไม่มีเครื่องนอน เซียวฉางหนิงได้แต่ใช้เสื้อผ้าคลุมบนร่างกายของตัวเองแล้วนอนลง
นางนอนบนเตียงใหญ่เคลือบทองฝังมุกจนชินแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางนอนบนตั่งพักเท้า แม้แต่จะพลิกตัวก็พลิกไม่ได้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง สูดจมูก น้ำตาแทบจะไหลลงมา แต่จะให้ปีนขึ้นเตียงของเสิ่นเสวียน นางกลับไม่ยินดีและไม่กล้าเช่นกัน
การ ‘จุดโคมลอย’ ตอนเข้าประตูมาน่ากลัวจริงๆ นางเหมือนกับได้กลิ่นเนื้อคนไหม้ที่ไม่มีอยู่จริงบนตัวเสิ่นเสวียน…คนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้นางจะกล้าเข้าใกล้ได้อย่างไร
“สำนักบูรพาไม่ฆ่าคนไร้ประโยชน์ องค์หญิงใหญ่วางพระทัยได้เลย”
เสียงพูดทุ้มต่ำดังมาจากบนเตียงผ้าห่มปักคู่นกยวนยางเซียวฉางหนิงแทบจะเบิกตาโตในความมืดทันที เกือบจะคิดว่าตนเองหูฝาดไป
นางเงี่ยหูฟังอยู่นาน เสิ่นเสวียนที่อยู่บนเตียงกลับไม่ได้พูดอะไรอีก ดังนั้นรอบข้างจึงจมอยู่ในความมืดสงบอีกครั้ง
จากนั้นเซียวฉางหนิงจึงนึกขึ้นได้ทีหลังว่าอะไรเรียกว่า ‘ไม่ฆ่าคนไร้ประโยชน์’ ข้าเป็นคนไร้ประโยชน์หรือ
นางไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกโชคดีหรือว่าควรจะโกรธกันแน่
คืนแรกของการแต่งงานผ่านไปอย่างหวาดหวั่นเช่นนี้ เซียวฉางหนิงไม่รู้ว่าตนเองนอนหลับไปเมื่อใด รู้เพียงว่าตอนตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา บนร่างของตัวเองมีผ้าห่มปักลายอ่อนนุ่มสะอาดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งผืน แต่บนเตียงนอน เสิ่นเสวียนหรือก็คือสามีขันทีของนางกลับไม่เห็นแม้แต่เงาเสียแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ธ.ค. 66 เวลา 12.00 น.