ได้ยินว่าเสิ่นเสวียนไม่อยู่ เซียวฉางหนิงก็มีความกล้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่อึดอัดเท่าใดแล้ว “ข้าไม่อยากเดินดู และไม่อยากทำความคุ้นเคย”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่”
“ฮูหยิน…”
“ข้าไม่ใช่ ‘ฮูหยิน’ อะไรทั้งนั้น ตามประเพณีเจ้าต้องเรียกข้าว่า ‘องค์หญิงใหญ่’ ”
“…”
หลินฮวนลังเลอีกครั้ง และรับรู้ถึงความเป็นปรปักษ์เล็กน้อยของเซียวฉางหนิง
เขาตัดสินใจยกเลิกการพูดคุยด้วยคำพูดแล้วหุบยิ้มลง ดวงตาโตที่ไร้เดียงสาไม่มีพิษภัยคู่นั้นเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาทันใด นิ้วโป้งกดลงบนฝักดาบ ชักดาบออกมาเล็กน้อย คมดาบมีประกายเย็นเยือกราวน้ำค้างแข็ง
“ใต้เท้าผู้บัญชาการบอกแล้วว่าถ้าฮูหยินไม่เชื่อฟัง ก็ให้ข้าน้อยดำเนินการตามสถานการณ์”
เซียวฉางหนิงวางช้อนชามลงอย่างรวดเร็ว เช็ดทำความสะอาดมุมปาก พูดอย่างยืดได้หดได้ “หลินกงกงเชิญนำทาง พวกเราไปทำความคุ้นเคยสภาพแวดล้อมประเดี๋ยวนี้เลย”
สิ้นเสียงคมดาบกลับเข้าฝัก หลินฮวนก็เปลี่ยนกลับมามีท่าทางไร้พิษภัยต่อคนและสัตว์ก่อนหน้านี้ในพริบตา แล้วยิ้มอย่างขัดเขิน “ฮูหยินเชิญตามข้าน้อยมาเถิดขอรับ”
เซียวฉางหนิงมือเท้าเย็นเฉียบ เดินตามหลินฮวนไปราวกับวิญญาณล่องลอย
ภายในห้อง ซย่าลวี่กับตงซุ่ยกอดกันร้องไห้ “ฮือ เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาน่ากลัวเหลือเกิน!”
บริเวณเรือนของสำนักบูรพาเงียบจนเหมือนน้ำนิ่งบ่อหนึ่ง หลินฮวนพาดฝักดาบไว้บนบ่าราวไม้หาม สองมือห้อยบนฝักดาบอย่างสบายอารมณ์ ก้าวเดินถอยหลัง น้ำเสียงมีความสดใสของคนหนุ่ม “นี่เป็นสถานที่ที่ข้าน้อยชอบที่สุด”
เซียวฉางหนิงมองไปตามสายตาของเขา เห็นเพียงป้ายชื่อเคลือบสีแดงแผ่นหนึ่งอยู่ใต้ชายคาที่แขวนเนื้อแห้งและกระเทียมเต็มไปหมด บนนั้นเขียนอักษรตัวใหญ่ว่า ‘ห้องครัว’ ก็จนคำพูด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดว่า “เจ้าชอบกินมากหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ใต้เท้าเสิ่นเคยพูดว่า ‘ราษฎรเห็นอาหารสำคัญเหนือฟ้า’ ถ้ากินของอร่อยไม่ได้ มีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไร” ระหว่างพูดหลินฮวนก็แวะไปหยิบซาลาเปาเนื้อสองลูกในหม้อนึ่งบนเตา แล้วเอาลูกหนึ่งยัดเข้าปากไปทั้งลูก
เซียวฉางหนิงรู้สึกตกใจ นางมองสองแก้มที่พองออกของหลินฮวน ไม่กล้าเชื่อว่าปากของเขาสามารถยัดซาลาเปาเนื้อที่ใหญ่กว่ากำปั้นเข้าไปได้อย่างไร
เห็นเซียวฉางหนิงจ้องตรงมาที่ตนเองหลินฮวนก็เกิดความเข้าใจผิดอย่างเห็นได้ชัด เขามองซาลาเปาในมือ แล้วมองเซียวฉางหนิงที่ตกตะลึง จากนั้นก็มองซาลาเปาในมืออีกครั้งเหมือนชั่งใจอย่างยากลำบาก ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงทำเหมือนตัดสินใจได้ ยื่นซาลาเปาไปตรงหน้าเซียวฉางหนิงอย่างอาลัยอาวรณ์ “ใต้เท้าเสิ่นบอกแล้วว่าท่านเป็นหงส์ขนร่วงที่เทียบไม่ได้แม้แต่ไก่ ไม่ว่าเรื่องใดต้องดูแลท่านมากสักนิด…ซาลาเปานี้ข้าน้อยให้ท่าน”
ถูกเรียกว่าเป็น ‘หงส์ขนร่วง’ เซียวฉางหนิงก็โกรธจนอึดอัดใจขึ้นมา
ทว่านางกลับไม่กล้าด่าเสิ่นเสวียน ทำได้เพียงกัดฟันยิ้มเย็น “ข้าไม่หิว เจ้ากินเถิด”
หลินฮวนดวงตาเปล่งประกาย ซาลาเปาราวกับกลายเป็นเงาสายหนึ่ง ถูกเขากลืนลงท้องไปในพริบตา เขาเลียนิ้วมืออย่างยังไม่หายอยาก แต่เมื่อเห็นเซียวฉางหนิงจ้องตัวเองอยู่ เขาจึงเม้มปากยิ้มอย่างขัดเขิน “ข้าน้อยตอนเด็กหิวจนกลัวแล้ว จึงมีความยึดติดกับการกิน”
เซียวฉางหนิงยังจมอยู่กับคำตอกย้ำความทุกข์ของเสิ่นเสวียน จึงรู้สึกไม่ชอบหลินฮวนอย่างมากไปด้วย แต่พอได้ยินเขาพูดว่า ‘ตอนเด็กหิวจนกลัว’ ไม่รู้ด้วยเหตุใดนางจึงเกิดใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย
สำนักบูรพามีพื้นที่กว้างมาก ทั้งสองเดินชมอยู่ครึ่งชั่วยาม เซียวฉางหนิงเหนื่อยจนยืดหลังไม่ขึ้น หลินฮวนกลับยิ่งเดินยิ่งเร็วราวกับกำลังเหาะเหิน ว่องไวดั่งวานร
“ซ้ายมือเป็นหอเก็บตำรา ข้างหน้าเป็นลานฝึกยุทธ์ ใต้เท้าเสิ่นกับพวกเรามักจะฝึกซ้อมเจ้าหน้าที่ที่นั่นเป็นประจำ” หลินฮวนหันหน้ามา ถามอย่างตั้งความหวังว่า “ฮูหยินจะไปดูหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เดินแล้ว ข้าเดินไม่ไหวแล้ว” เซียวฉางหนิงนั่งลงบนม้านั่งหินใต้เงาไม้ นวดข้อเท้าที่บอบบาง “ข้าไม่เคยเดินไกลเช่นนี้มาก่อน เกี้ยวสักหลังก็ไม่มี”
“ในหน่วยมีเพียงม้าชั้นดี ไม่มีเกี้ยว หากนั่งเกี้ยวจะไม่มีที่ให้หลบหลีก นั่นย่อมถูกศัตรูลอบสังหารได้ง่าย” หลินฮวนพูดคำน่ากลัวอย่างจริงจัง เหล่มองเซียวฉางหนิงที่มีเหงื่อผุดเต็มหน้าผากปราดหนึ่ง “ฮูหยินร่างกายอ่อนแอเกินไปแล้ว ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมให้มากนะขอรับ”
“ฝึกซ้อมไร้สาระอันใด” เซียวฉางหนิงทั้งเหนื่อยและอึดอัด นางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ พูดอย่างอารมณ์เสียว่า “ข้าเป็นองค์หญิงใหญ่ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ใต้บัญชาพวกเจ้า”
หลินฮวนส่งเสียง “อ้อ”
แสงแดดอบอุ่น เงาไม้พลิ้วไหว บนชายคาไม่ไกลออกไปมีเสียงแมวร้องสองทีดังลอยมาทันใด