บทที่หนึ่ง
ริมเกาะไป๋ลู่ ไถเฉิงปลายฤดูใบไม้ผลิ
เป็นอีกปีที่แถบเจียงหนาน งดงาม ดอกซิ่งโปรยปรายดุจสายฝน ดอกหลีผลิบานดุจปุยเมฆ ผึ้งและผีเสื้อบินว่อนดอมดมกลิ่นหอมของดอกไม้
เกาลั่วเสินนั่งอยู่ในห้องอันเงียบสงบในอารามเต๋าซึ่งตนพักอยู่ตามลำพังมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว
“พวกเจ้าไปเถิด หนีไปได้ไกลเท่าใดยิ่งดี…”
นางกล่าวกับนักพรตหญิงตรงหน้าหลายคนที่ยังไม่จากไป ทว่าพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ขึ้น องครักษ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอกธรณีประตู
“ฟูเหริน! ชาวเจี๋ยตีประตูเมืองแตกแล้ว! มีข่าวลือว่าไทเฮากับฝ่าบาทถูกจับเป็นเชลยที่ถนนหนานซย่า หรงคังกำลังนำกองทหารเจี๋ยเร่งรุดมาทางด้านนี้ น่ากลัวจะไม่เป็นผลดีต่อฟูเหริน! ถ้าฟูเหรินยังไม่รีบหนีก็จะไม่ทันแล้วขอรับ!”
ทุกคนต่างรู้ดี กองทัพเจี๋ยโหดร้ายทารุณไร้มนุษยธรรม ทุกครั้งที่ตีเมืองของราชวงศ์ใต้แตกเมืองหนึ่ง จะต้องเผาเมืองปล้นฆ่าข่มขืน ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่ไม่ทำ ฮ่องเต้ของชาวเจี๋ยในเวลานี้ยิ่งไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย กล่าวกันว่าเคยเอาเชลยหญิงชาวราชวงศ์ใต้ไปต้มหม้อเดียวกับเนื้อกวาง แล้วสั่งให้แขกผู้ร่วมกินอาหารแยกแยะรสชาติหาความสนุกสนาน
เหล่านักพรตหญิงเดิมก็ตื่นตระหนกจนมือไม้อ่อนอยู่แล้ว ครั้นได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็ยิ่งไร้สีเลือด พากันพิลาปร่ำไห้ หลายคนที่ขวัญอ่อนก็แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด
เกาลั่วเสินหลับตาลง
แสงเทียนวูบไหวส่องสะท้อนเงาร่างเดียวดายผ่ายผอมในชุดนักพรตของนางเกิดเป็นเงาทอดยาวอยู่บนผนัง ยิ่งเพิ่มความอ้างว้างเศร้าวังเวง
บ้านเมืองถูกข้าศึกยึดครอง ชนต่างเผ่าเข้ามารุกรานย่ำยี ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเหยียบย่ำเมืองหลวงเก่าสองแห่งที่งดงามอุดมสมบูรณ์
ภายใต้การชะเง้อคอรอคอยของผู้เฒ่าที่เคยอยู่ทางเหนือ คนราชวงศ์ใต้เคยยกทัพไปปราบปรามทางเหนือครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผลในท้ายสุดบ้างก็กลับมาโดยไม่มีผลงาน บ้างก็พ่ายแพ้กลางคัน ล้มเหลวเอาเมื่อใกล้จะประสบความสำเร็จก็มี
เมื่อความฝันที่จะยึดคืนแผ่นดินเกิดสูญสลายไปแล้ว สิ่งที่คนของราชวงศ์ใต้ทำได้ก็มีเพียงอาศัยสันคูร่องลึกชัยภูมิอันเป็นอันตรายตามธรรมชาติของแม่น้ำฉางเจียงรักษาผืนแผ่นดินทางด้านซ้ายของแม่น้ำเอาไว้ เพื่อรักษาเส้นใยสุดท้ายของความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอาไว้ จึงได้สถาปนาแผ่นดินหวาซย่า ก่อตั้งราชวงศ์และตั้งตนเป็นอิสระ หมดหวังที่จะยึดคืนเมืองหลวงทั้งสอง ได้แต่อาศัยเสื้อผ้าการแต่งกายและขนบธรรมเนียมประเพณีมาหวนรำลึกถึงความรุ่งเรืองในอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น
ทว่ามาบัดนี้แม้แต่สิ่งนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
ชัยภูมิอันเป็นอันตรายตามธรรมชาติที่เคยเข้าใจว่าแข็งแกร่งดุจกำแพงเหล็กก็ไม่อาจสกัดกั้นการบุกลงใต้ด้วยการเดินเท้าของชาวเจี๋ยได้
หรงคังผู้นั้นเคยเป็นผู้ปกครองหัวเมืองชายแดนปาตง เมื่อหลายปีก่อนหลังจากสูญเสียภรรยา เนื่องจากชื่นชมในชื่อเสียงของเกาลั่วเสินแห่งสกุลเกา จึงถือดีว่าตนเองมีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง ราชสำนักต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่มาก ถึงกับมาขอแต่งงานกับนาง
สกุลเกาที่เป็นสกุลสูงศักดิ์มีหรือจะยอมเกี่ยวดองด้วยการสมรสกับแม่ทัพชายแดนเช่นหรงคัง
อีกอย่างนับแต่เกาลั่วเสินเข้าสู่อารามเต๋าเมื่อสิบปีก่อนก็สาบานไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งงานอีก
เกาไทเฮาซึ่งเป็นญาติผู้พี่หญิงร่วมสกุลของนาง รู้สึกติดค้างนางอยู่เพราะเรื่องเก่าเมื่อสิบปีก่อนเรื่องนั้น จึงไม่กล้าบังคับฝืนใจนาง
หรงคังขอแต่งงานไม่สำเร็จ เขารู้สึกเสียหน้า นับแต่นั้นก็เจ็บแค้นอยู่ในใจ ปีถัดมาก็นำทหารก่อกบฏ หลังถูกปราบปรามก็หนีไปทางเหนือบากหน้าไปพึ่งพาชนเผ่าเจี๋ย ได้รับมอบหมายให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ
ชนเผ่าเจี๋ยเคลื่อนทัพใหญ่บุกลงใต้ในครั้งนี้ หรงคังเป็นทัพหน้า นำกองทัพเจี๋ยบุกลงใต้โจมตีเมือง โอ้อวดแสนยานุภาพ ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่ไม่ทำ