ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 1-บทที่ 2
“ข้าไม่ไป พวกเจ้าไปเถิด”
เกาลั่วเสินลืมตาขึ้นมาช้าๆ พูดขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของนางสงบนิ่ง
“ฟูเหริน รักษาตัวด้วย…”
นักพรตหญิงทั้งหลายพากันคุกเข่าโขกศีรษะให้นาง หลังจากลุกขึ้นมาก็ช่วยประคับประคองกัน ทางหนึ่งก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ทางหนึ่งก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเร่งร้อน
ไม่นานอารามจื่ออวิ๋นที่ใหญ่โตกว้างขวางก็เหลือเกาลั่วเสินอยู่เพียงผู้เดียว
เกาลั่วเสินเดินออกจากประตูด้านหลังอารามตามลำพังมาถึงริมแม่น้ำ ยืนอยู่บนโขดหินสูงก้อนหนึ่ง เบิกตามองผิวน้ำกว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้าที่แบ่งแยกดินแดนทั้งเก้า ออกเป็นเหนือใต้ผืนนี้
ดวงจันทร์สีเงินยวงลอยอยู่บนท้องฟ้า ลมแม่น้ำพัดโชย แขนเสื้อของนางสะบัดไหวดุจจะปลิวไปตามสายลม
กลางดึกในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ นางอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางแม่น้ำเช่นนี้ ทอดสายตามองไปยังคลื่นในแม่น้ำที่อยู่ในที่ไกล แลคล้ายเส้นสีเงินเส้นหนึ่งที่เชื่อมโยงอยู่กับดวงจันทร์ค่อยๆ พัดเคลื่อนเข้ามา
คลื่นในแม่น้ำใต้แสงจันทร์ในฤดูใบไม้ผลินอกเขตไถเฉิงสายนี้ นางคุ้นเคยเป็นที่สุดแล้ว
นับครั้งไม่ถ้วนยามตื่นจากฝันร้ายตอนกลางดึก ขณะที่ไม่อาจหลับต่อไปได้อีก สิ่งเดียวที่อยู่ข้างหูเป็นเพื่อนนางก็คือเสียงของคลื่นในแม่น้ำที่ซัดเข้ากระทบฝั่งอยู่ทุกค่ำคืน คืนแล้วคืนเล่า…เป็นเดือนๆ ปีๆ
ทว่าค่ำคืนนี้เสียงคลื่นในแม่น้ำฟังดูแล้วกลับคล้ายเสียงกลองดังสะท้านสะเทือนในกองทัพเจี๋ยที่เคลื่อนลงใต้
เกาลั่วเสินคล้ายได้ยินเสียงกรีดร้องอันตื่นตระหนกของเหล่านักพรตหญิงที่หนีไม่ทันกับเสียงแผดคำรามและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของทหารเจี๋ยดังมาจากที่ไกล
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…
ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามของราชวงศ์ใต้ เกียรติยศของวงศ์ตระกูล รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนาง ล้วนแต่ต้องจบสิ้นลงในค่ำคืนนี้
ทหารเจี๋ยที่อยู่ทางด้านหลังรุกใกล้เข้ามาทุกที เสียงที่ลอยมาตามสายลมสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนแล้ว
เกาลั่วเสินไม่ได้หันกลับไปมอง
น้ำในแม่น้ำโหมซัดกระโปรงของนางลอยขึ้นเล็กน้อย ดูคล้ายบุปผาที่แผ่กระจายดอกหนึ่ง ร่างที่ผ่ายผอมแบบบางดุจไม้ไผ่ถูกคลื่นลมผลักไปมา ร่างโงนเงนอยู่กลางสายลม
นางช้อนตาขึ้นมองคลื่นในแม่น้ำที่กำลังโถมทะลักเข้าหาตน แล้วก้าวออกไปทีละก้าวๆ เดินตรงไปข้างหน้า เดินลุยน้ำมุ่งไปยังกลางแม่น้ำ
นับแต่เกาลั่วเสินจำความได้ บิดาก็มักพานางมาที่เมืองสือโถว ที่อยู่ริมแม่น้ำนี้เสมอ
ระหว่างภูเขาเขียวขจีที่สูงตระหง่าน มีกำแพงเมืองสูงตั้งอยู่ เมืองสือโถวตั้งอยู่ริมแม่น้ำฉางเจียง ทางตะวันตกของเมืองหลวง เพื่อพิทักษ์เมืองหลวงแล้ว ที่นี่ถึงกับมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งรักษาการณ์อยู่ตลอดปี
บิดามักจับจูงมือน้อยของนางมองไปยังทิศเหนืออันไกลโพ้นที่มีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ จ้องมองอยู่นาน
ยกทัพไปตีทางเหนือยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไป กอบกู้แผ่นดินฮั่นกลับคืนมา ถือเป็นความมุ่งมาดปรารถนาอันยิ่งใหญ่ในชีวิตนี้ของบิดา
มีเรื่องเล่าว่าในคืนก่อนที่มารดาจะให้กำเนิดนาง บิดาฝันว่าได้กลับไปเมืองหลวงตะวันออก…ลั่วหยาง ในฝันนั้น เขารู้สึกราวกับเป็นจริงว่าได้ไปเดินเอ้อระเหยอยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่ว ขับร้องเพลงสนุกสนานอย่างเต็มที่ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น ทว่ากลับต้องเศร้าระทมเป็นเท่าทวีคูณ
เกาลั่วเสิน เคยคาดเดาว่าบิดาตั้งชื่อให้นางเช่นนี้ ในชื่อนี้ใช่จะไม่มีความหมายของการหวนระลึกถึงอดีต คะนึงถึงปัจจุบัน และห่วงพะวงถึงกาลข้างหน้า เหมือนกับสายน้ำที่มาบรรจบรวมกัน
เพียงแต่บิดาคงคาดคิดไม่ถึงว่าช่วงสุดท้ายในชีวิตของนางจะจากไปกับสายน้ำเช่นนี้
ก็เป็นเช่นดังชื่อนี้ ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่เหนือการควบคุม นี่อาจจะเป็นการทำนายชะตาชีวิตของคนเราอย่างหนึ่งก็ได้
คลื่นในแม่น้ำตอนกลางดึกประหนึ่งมังกรยักษ์ตัวหนึ่งกำลังแผดเสียงคำรามก้องสยบวิญญาณคนภายใต้แสงจันทร์
มันแผดเสียงคำราม คุกคามเข้ามาใกล้นางขึ้นทุกทีๆ ราวต้องการจะกลืนกินนางลงไปอย่างไรอย่างนั้น
นางกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ในชีวิตนี้คนที่นางรักหลายต่อหลายคนได้จากนางไปก่อนแล้ว
รัชศกซิงผิงปีที่สิบห้า ตอนที่นางอายุได้สิบหก นางได้รู้ถึงรสชาติของการตายจากเป็นครั้งแรก ปีนั้นเกาหวนน้องชายญาติผู้น้องร่วมสกุลอายุสิบห้าปีซึ่งสนิทสนมกับนางดุจพี่น้องแท้ๆ โชคร้ายตายไปในการต่อสู้ปราบกบฏหลินชวนหวังผู้เป็นเชื้อพระวงศ์
ถัดจากนั้นรัชศกไท่คังปีที่สอง ยามที่นางอายุได้สิบแปดปี นางก็สูญเสียลู่เจี่ยนจือ สามีที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นานไป
รัชศกไท่คังปีที่สาม ขณะที่นางเป็นแม่ม่ายใหม่ยังจมอยู่ในความเศร้าโศกของการสูญเสียคนรัก สวรรค์ก็ช่วงชิงบิดาและมารดาของนางไปอย่างโหดร้าย ปีนั้นดินแดนสามอู๋ เกิดเหตุการณ์จลาจลวุ่นวาย ทหารกบฏปิดล้อมเมือง มารดาถูกกักขัง บิดาต้องการจะช่วยมารดา จนสุดท้ายทั้งสองคนล้วนถูกสังหารกันทั้งคู่
และวันนี้หลังจากเวลาผ่านไปสิบกว่าปี ในช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานท่านอาและพี่ชายซึ่งเป็นญาติผู้พี่ของนางที่เฝ้าประคับประคองต้าอวี๋และสกุลเกาจนถึงช่วงสุดท้ายก็ทยอยสู้รบจนตัวตายในการทำศึกกับกองทัพเจี๋ยที่มุ่งลงใต้ ณ เมืองเซียงหยาง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียง
ภาพต่างๆ เหล่านี้ผุดวาบขึ้นมาตรงหน้าเกาลั่วเสิน
ท้ายที่สุดในสมองของนางพลันมีใบหน้าของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นเป็นใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง โลหิตอาบย้อมใบหน้าที่องอาจหล่อเหลาของเขาเต็มไปหมด
โลหิตสดกลับยังหยาดหยดจากขอบตาของเขาไม่หยุด กระเซ็นถูกใบหน้าของนางหยดแล้วหยดเล่า ดวงหน้างามดุจบุปผาของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต
ช่วงเวลานั้นนางถูกเขาโถมเข้าใส่ล้มอยู่กับพื้น ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
ดวงตาทั้งสองของเขามองจ้องนางไม่กะพริบ ทั้งที่มีโลหิตหยาดหยดอยู่อย่างนั้น ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างที่สุดและความชิงชังอย่างลึกซึ้ง
ท่าทางเขาเหมือนสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้ตายและกำลังเคียดแค้นอย่างหนักราวกับพริบตาถัดมาก็จะฉีกร่างนางเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนกินลงไป
แต่สุดท้ายนางกลับยังมีชีวิตอยู่ต่อมา…อยู่มาจนถึงวันนี้
ส่วนเขา…ในที่สุดก็สิ้นใจตายอยู่บนร่างของนางเช่นนั้น