ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 1-บทที่ 2
แม้จะกำลังปลอบใจเกายงหรงให้คลายกังวล แต่น้ำเสียงกลับเจือความลังเล เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็รู้สึกหวาดระแวงและร้อนใจ
เกายงหรงแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง
‘อาหมี ปกติเจ้าเก็บเนื้อเก็บตัวน้อยครั้งจะออกจากเรือน จะรู้ได้อย่างไรว่าใจคนสุดหยั่งรู้ เขายกทัพไปปราบทางเหนือหลายครั้ง เจ้าเข้าใจว่าเขาคิดแต่จะยึดคืนดินแดนเดิมจากมือชาวหูหลู่ ให้เราหรือ เขาก็แค่กำลังรวบรวมจิตใจของผู้คน สะสมชื่อเสียงบารมีเท่านั้น! นับแต่ปฐมฮ่องเต้ข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ เพราะรู้ว่ามีทั้งคนสนับสนุนและคัดค้านจึงอาศัยข้ออ้างในการยกทัพไปปราบปรามทางเหนือ สร้างชื่อเสียงบารมีแล้วค่อยมาโจมตีคู่ต่อสู้ในภายหลัง พฤติการณ์เช่นนี้ตอนนั้นสกุลสวี่ สกุลลู่ ตระกูลขุนนางใหญ่อันดับหนึ่งเหล่านี้ มีตระกูลใดบ้างไม่เคยทำ อย่างสกุลเกาเราตอนเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ท่านลุงอยู่ในตำแหน่งสูง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งใต้หล้า จุดเปลี่ยนพลิกผันก็ไม่ใช่เพราะลูกหลานสกุลเกาเราสร้างความดีความชอบในการทำศึกกับชาวเจี๋ยหรอกหรือ’
ทุกวันนี้แม้ต้าอวี๋จะเพียงรักษาดินแดนเจียงจั่วไว้ได้ แต่สกุลเซียวปกครองบ้านเมืองต่อเนื่องกันมานานสองร้อยปีแล้ว สองร้อยปีมานี้มีคนมากเพียงใดที่จ้องอยากจะได้ราชบัลลังก์ พยายามจะเข้ามาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็นราชนิกุลทายาทสกุลสูงศักดิ์ หรือตระกูลขุนนางที่มีอำนาจราชศักดิ์ เจ้าเคยเห็นว่ามีใครทำสำเร็จหรือไม่ สายโลหิตของราชวงศ์อันสูงศักดิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากสวรรค์จะให้คนธรรมดาทั่วไปเข้ามาผสมปนเปได้อย่างไร!’
พูดมาถึงตรงนี้เกายงหรงก็เหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง ในดวงตามีความหยิ่งทระนงเจืออยู่รำไร
‘โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่มู่ผู้นี้เกิดในครอบครัวสามัญชนที่ต่ำต้อย เดิมเป็นเพียงขุนพลทหารในดินแดนรกร้างห่างไกล เขามีหรือจะไม่รู้ ถ้าไม่ได้สั่งสมอำนาจบารมีและชื่อเสียงมากพอ บุ่มบ่ามชิงราชบัลลังก์ ด้วยชาติกำเนิดและคุณสมบัติของเขาจะสยบใจผู้คน แล้วนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างไร
ตอนนั้นเขารู้ตัวว่าชื่อเสียงบารมีของตนยังไม่เพียงพอ อย่าว่าแต่ยังมีสกุลสวี่เป็นอุทาหรณ์เตือนใจเลย ถึงไม่ได้รีบร้อนช่วงชิงราชบัลลังก์ หาไม่หลังจากปราบปรามกบฏสกุลสวี่แล้ว เพราะเหตุใดจึงอดใจรอไม่ไหว อ้างเหตุนี้สังหารญาติผู้พี่ของอี้อันและตระกูลขุนนางปัญญาชนหลายคนที่ต่อต้านคัดค้านเขา นี่ยังไม่ใช่เพราะสกุลลู่ สกุลจูขัดขวางเขาหรือ มาบัดนี้เขาก็ไม่คำนึงว่าขุนนางในราชสำนักคัดค้าน ดึงดันจะทำตามความต้องการของตน ชูธงตีเกราะเคาะกลองใหญ่โต จะต้องทุ่มเทกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด เอาผืนแผ่นดินต้าอวี๋เป็นเดิมพัน เสี่ยงภัยไปปราบปรามทางเหนืออีกครั้ง ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด รอเขาประสบความสำเร็จกลับมาก็ถึงเวลาที่ข้าแม่ม่ายลูกกำพร้าต้องเข้าตาจนแล้ว…’
สองตาของเกายงหรงค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น มีประกายน้ำตาวิบวับ
‘อาหมี อาเจี่ยขอร้องเจ้าแล้ว เจ้าก็คิดเสียว่าช่วยข้าอีกแรง รับปากด้วยเถิด!’
‘อาเจี่ย…ถึงข้าจะแต่งงานกับเขา แต่จะทำอะไรเพื่อท่านได้’
ผ่านไปครู่หนึ่งเกาลั่วเสินก็เอ่ยถามเสียงต่ำ น้ำเสียงเจือความอ่อนแรง
‘เขาประคับประคองเติงเอ๋อร์ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้ ก็ย่อมปลดเติงเอ๋อร์ตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ ปลดหรือตั้งทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ชั่ววูบเดียวของเขา อาเจี่ยคิดอยู่ ในเมื่อเขาเลื่อมใสศรัทธาเจ้า ถ้าเจ้าแต่งให้เขา มีความเกี่ยวดองกันผ่านการสมรส อีกทั้งอาศัยกำลังของเจ้าช่วยไกล่เกลี่ยปรับความเข้าใจ วันหน้าถึงหลี่มู่จะเลียนแบบสกุลสวี่คิดจะเปลี่ยนราชวงศ์ ข้าแม่ม่ายลูกกำพร้าไม่แน่อาจยังพอมีชีวิตรอดปลอดภัย ได้อยู่จนแก่ตายในชีวิตนี้ หาไม่เขาคงไม่ละเว้นพวกเราแม่ลูก เพียงกลัวว่าถึงตอนนั้นอาจต้องตายโดยไร้ที่กลบฝัง!’
เกาลั่วเสินก้มหน้าลง ร่างคล้ายแข็งทื่อไปแล้ว ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
เกายงหรงมองนางนิ่ง ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรอีก
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าถี่เบาดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
เกาลั่วเสินหันหน้าไปตามเสียง เห็นเซียวสวินหลานชายอายุสิบกว่าปีของตนผู้นั้นสวมชุดคลุมมังกรตัวเล็กๆ บนร่าง วิ่งออกมาจากประตูบานหนึ่งทางด้านหลังตำหนัก วิ่งมาถึงเบื้องหน้านางแล้วคุกเข่าลงไป
‘ถ้าท่านน้าไม่ยอมช่วยข้า เติงเอ๋อร์ก็จะไม่ลุกขึ้น!’
ฮ่องเต้เยาว์วัยน้ำเสียงเจือความไร้เดียงสา สองมือจับชายเสื้อนางไว้แน่น ดวงตาเบิกโตพลางแหงนหน้าขึ้นมองนาง สองตาไม่กะพริบ
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน รัชศกหลงหยวนปีที่สอง ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เพื่อการยกทัพไปปราบปรามทางเหนืองานใหญ่ที่หลี่มู่จัดเตรียมมานานจะสามารถเคลื่อนทัพได้ตามกำหนดที่วางไว้ งานแต่งงานระหว่างเกาลั่วเสินกับเขาก็แทบจะเรียกได้ว่าลุล่วงไปอย่างฉุกละหุก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นงานแต่งงานยิ่งใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วทั้งเมือง
ผู้หนึ่งเป็นสตรีสูงศักดิ์ รูปโฉมสติปัญญาความสามารถไม่เป็นสองรองใคร บทกวีรำลึกถึงอดีตเพียงบทเดียวที่นางเคยแต่งไว้ตอนเข้าเรียนพร้อมกับพี่ชายน้องชายผู้เป็นญาติในสกุลเดียวกันในสมัยยังเป็นเด็กสาวได้แพร่กระจายออกสู่ภายนอก จนถึงทุกวันนี้ตามร้านหนังสือยังคงคัดลอกกันอยู่
ผู้หนึ่งคือต้าซือหม่า ในใจผู้คนของราชวงศ์ใต้ทั่วไป เขาก็คือเทพแห่งสงครามผู้เป็นตัวแทนของจิตใจอันฮึกเหิมและเกียรติยศอันสูงสุดของชาวใต้ อยู่ใต้คนหนึ่งคน อยู่เหนือคนนับหมื่น
หลังพิธีแต่งงานอันยืดยาดยาวนาน เกาลั่วเสินในชุดเจ้าสาวนั่งอยู่ตามลำพังในห้องหอในจวนต้าซือหม่าที่จัดเตรียมขึ้นมาเพื่อค่ำคืนนี้โดยเฉพาะ รอคอยการมาถึงของสามีคนที่สองในชีวิตของตนอยู่เงียบๆ
หลี่มู่ไม่ได้ปล่อยให้นางต้องรอนาน
การมาถึงของเขาเร็วกว่าที่นางคิดไว้มาก
นี่เป็นการกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง หลังจากนางได้เขาส่งตัวออกจากเมืองเซวียนเฉิงเมื่อสองปีก่อน
รูปร่างหน้าตาของเขาดูต่างไปจากในความทรงจำของนางอยู่บ้าง
ตอนนั้นอาจเพราะยุ่งอยู่กับการเตรียมการสู้รบในเจียงเป่ย ทั้งยังรีบร้อนนำกำลังทหารกลับมาช่วยเจ้าเหนือหัว เขาไม่มีเวลาจะมาคำนึงถึงเรื่องปลีกย่อยอื่น หลี่มู่ในความทรงจำของเกาลั่วเสินนั้น สวมเสื้อเกราะที่เปรอะเปื้อนคราบโลหิต ไว้หนวดเครารุงรังยาวราวชุ่น กว่า ทำให้บดบังใบหน้าของเขาไปครึ่งหนึ่ง
กลิ่นคาวโลหิตจางๆ ใต้คิ้วมีดวงตาที่ดูลุ่มลึกคู่หนึ่ง ทั้งหมดนี้คือภาพของข้าหลวงเมืองเหยี่ยนโจวที่มาช่วยกอบกู้เมืองในตอนนั้น ซึ่งอยู่ในความทรงจำของนาง
แต่ในคืนนี้บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากภาพในความทรงจำของเกาลั่วเสินอย่างสิ้นเชิง
เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำหมวกทรงสูง เอวคาดสายรัดเอวใหญ่ฝังหยก หนวดเคราที่บดบังใบหน้าหายไปแล้ว ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ด้านข้างของขากรรไกรทั้งสองมีเพียงแนวเขียวจางๆ หลังการโกนหนวดซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของบุรุษในวัยผู้ใหญ่ เผยให้เห็นเส้นสายแนวสันกรามเรียวงามแข็งแรง ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายแวววาว ทั่วทั้งร่างดูหล่อเหลาและมีชีวิตชีวา
ลักษณะของเขาดูแตกต่างจากลู่เจี่ยนจือ รวมถึงบิดาหรือบรรดาพี่ชายที่เกาลั่วเสินคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง
ตอนลู่เจี่ยนจือยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เพียงเป็นผู้โดดเด่นในบรรดาคนหนุ่มบุตรหลานตระกูลขุนนางในเมืองเจี้ยนคัง เขายังเป็นทหารที่สร้างผลงานอันหาได้ยากยิ่งด้วย
มือของเขาทั้งจับพู่กันขีดเขียนอย่างสง่างาม และทั้งจับกระบี่สังหารผู้คน