แต่แม้จะเข้าร่วมกองทัพเช่นกัน มีคุณูปการยอดเยี่ยม แต่ในตัวของลู่เจี่ยนจือกลับขาดจิตสังหารแบบหลี่มู่
ไม่เกี่ยวกับการสวมใส่อะไร…มีเพียงต้องผ่านทะเลโลหิตซากศพกองเป็นภูเขา ดื่มโลหิตลุยคมดาบจึงจะมีพลังอำนาจที่ซึมซาบเข้าไปในโลหิตและกระดูกทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นเกรง
หลังจากเขาเข้ามาก็มายืนอยู่เบื้องหน้านาง มองจ้องนางโดยไม่ได้เอ่ยปากพูด และไม่ได้เข้ามาใกล้
เกาลั่วเสินรู้ว่าคืนนี้ตนเองมีใบหน้าแดงเปล่งปลั่งฟันขาว ดูงดงามยิ่ง
ตั้งแต่เจ็ดปีก่อนหลังจากลู่เจี่ยนจือจากไป คืนนี้นับเป็นครั้งแรกที่นางแต่งเนื้อแต่งตัวงามหรูออกมาให้ผู้คนเห็น
รอบด้านเงียบสงบจนออกจะน่ากลัว เกาลั่วเสินได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจเข้าออกของเขา
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด
ในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าหาญเงยหน้าขึ้น มองสบสายตากับเขา
หลังจากมองประสานสายตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หยักโค้งมุมปากขึ้นช้าๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เขา
เขาคล้ายลังเลไปชั่วขณะ ไหล่ขยับเล็กน้อย จากนั้นก็ปลดหมวกด้วยตนเอง สาวเท้าเดินมาที่ข้างกายนาง
ช่วงฤดูกาลเช่นนี้ ถ้าสวมเสื้อผ้าบางไปตอนกลางคืนยามมีลมพัดมาบางครั้งเกาลั่วเสินก็ยังรู้สึกหนาว
คงเพราะดื่มสุรามา เขากลับเหมือนรู้สึกร้อน มีเหงื่อบางๆ ซึมออกมาจากตัวเสื้อด้านหลัง
ครั้นลังเลอยู่ชั่วขณะเกาลั่วเสินก็เอ่ยถามเสียงต่ำ ‘จะเปลี่ยนเสื้อหรือไม่’
เขายกมือขึ้น ขณะจะปลดสายรัดเอวที่คาดเอวเส้นนั้น แขนเขาก็พลันหยุดชะงักหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
มือขาวผ่องเรียวงามข้างหนึ่งยื่นมาที่เอวของเขา ปลายนิ้วแตะไปที่ตะขอสายรัดเอวแล้วหยุดนิ่ง
เขามองมาที่นาง…
เกาลั่วเสินลุกขึ้นมาจากขอบเตียงแล้ว นางตัวสูงเท่าหัวไหล่ของเขา เมื่อมายืนอยู่ข้างหน้าเขาเช่นนี้ก็ยิ่งดูตัวเล็กแบบบาง
แพขนตาคู่หนึ่งสั่นไหวน้อยๆ นางหลุบเปลือกตาลงไม่ได้มองเขา
หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ มือเรียวงามดุจหยกข้างนั้นก็ปลดตะขอสายรัดเอวให้เขา แล้วค่อยๆ ปลดสายรัดเอวออกจากร่างของเขา
เขาไม่ขยับ เพียงก้มศีรษะเล็กน้อย มองนางช่วยถอดเสื้อให้เขาต่อไปเงียบๆ คอยหมุนตัว ยกมือทั้งสองขึ้นให้ความสะดวกแก่นาง
เสื้อตัวนอก เสื้อตัวกลาง เมื่อเสื้อตัวในที่ด้านหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อถอดออกมาได้ครึ่งหนึ่ง เขารู้สึกได้ว่ามือที่แตะอยู่บนหัวไหล่ด้านหลังของเขาโดยมีเสื้อกั้นขวางอยู่ข้างนั้นหยุดนิ่งลง
เขารออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รู้สึกว่ามือข้างนั้นผละออกไปจากหัวไหล่ด้านหลังของตน
เขาหันหน้าไปช้าๆ เห็นสีหน้าของนางแข็งทื่อเล็กน้อย สายตาทั้งสองจับนิ่งอยู่ที่แผ่นหลังของเขาคล้ายได้เห็นอะไรที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก
‘ข้าทำให้เจ้ารังเกียจและหวาดกลัวหรือ’
เสียงของเขาฟังดูแหบแห้งและฝาดฝืนยิ่ง
บนแผ่นหลังของเขามีรอยแผลเป็นหลายรอยที่เกิดจากการทำศึกในอดีต ล้วนแต่ไม่ใช่แผลตื้นๆ ทั้งสิ้น
โดยเฉพาะรอยแผลตรงหัวไหล่ด้านซ้ายนั้นเป็นรอยดาบยาวจากหัวไหล่ลงมาถึงเอว ความรุนแรงของบาดแผลในตอนนั้นหวิดจะเอาชีวิตของเขาไปเสียแล้ว มาบัดนี้แม้จะหายดี แต่ผิวเนื้อตรงแผลยังคงไม่ราบเรียบ แลดูเหมือนมีตะขาบสีม่วงอมดำตัวหนึ่งเกาะอยู่ เห็นแล้วน่าเกลียดน่ากลัวเป็นที่สุด
เกาลั่วเสินช้อนตาขึ้นมองสบดวงตาหม่นขรึมคู่นั้นของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็สั่นศีรษะน้อยๆ
‘ข้ากำลังคิดว่าตรงนี้ตอนนี้ยังเจ็บอยู่หรือไม่’ นางถามเขาเบาๆ
ในดวงตางามคู่นั้นไม่มีความรังเกียจและหวาดกลัวอยู่ หากแต่หลังจากคลายจากความตื่นตระหนกก็เผยความอ่อนโยนและความเวทนาสงสารไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ความหม่นขรึมในส่วนลึกของดวงตาเขาจางหายไปทันที
‘หายเจ็บนานแล้ว’
เขาจ้องมองนางแล้วกล่าวเสียงต่ำ น้ำเสียงเบาและนุ่มนวลยิ่งคล้ายกำลังปลอบขวัญนาง
เกาลั่วเสินค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมา ก่อนหมุนตัวไปหยิบเสื้อชั้นในสะอาดตัวหนึ่ง เห็นเขาถอดเสื้อที่เปียกเหงื่อออกด้วตนเองแล้ว เผยให้เห็นร่างช่วงบนที่กำยำล่ำสันก็อดใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ นางไม่กล้ามองมาก เพียงหลุบตาลงเล็กน้อย ยื่นเสื้อไปให้
เขารับไปสวมใส่และคาดสายรัดเอวเรียบร้อย