บทที่สาม
หลี่มู่มองสบตานางอยู่ครู่หนึ่ง เขาดึงมือตนเองกลับพลางลุกขึ้นมานั่ง
เกาลั่วเสินก็ไม่เข้าใจตนเอง เหตุใดตนจึงบุ่มบ่ามถามคำถามนี้ออกมาในเวลาเช่นนี้
คำพูดเพิ่งออกจากปาก นางก็นึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
นางนอนหงายอยู่บนหมอน ปรายตามองเงาด้านหลังอันเคร่งขรึมภูมิฐานดุจขุนเขาของบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างผู้นั้น ใจเต้นระรัวอย่างรุนแรง
ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินเขาเอ่ยปาก
นางหลับตา ‘เป็นข้าพูดผิดไปแล้ว หลางจวินไม่ต้องใส่ใจ’
‘เจ้าทราบความตั้งใจเดิมของข้าที่จะเข้าร่วมกองทัพในตอนนั้นหรือไม่’
เขาพลันย้อนถาม
เกาลั่วเสินลืมตา เห็นเขาหันหน้ามาแล้วก้มลงมองตน
นางเบิกตาโต ไม่ได้ขยับตัวแต่อย่างใด
สายตาของเขากวาดผ่านดวงหน้างามดุจบุปผาของนาง แล้วยิ้ม
‘ในปีที่ข้าอายุสิบขวบ ป้อมปราการของครอบครัวถูกคนเหนือตีแตก บิดาของข้าตายในสนามรบ โชคดีที่ได้องครักษ์ในบ้านที่จงรักภักดีสู้ตายช่วยคุ้มกัน มารดาจึงมีโอกาสพาข้าหนีตายมา จนทุกวันนี้ข้ายังจำภาพตอนมารดาพาข้าข้ามแม่น้ำได้ ฝั่งแม่น้ำทางเหนือมีชาวหูหลู่ที่ไล่ตามมายิงธนูใส่ มีคนต้องธนูตกน้ำอยู่ตลอดเวลา เรือหาปลาที่แคบเล็กมีคนเบียดเสียดอยู่เต็มลำเรือ เสียงร้องไห้ดังสะเทือนถึงแผ่นฟ้า เรือลำที่อยู่ด้านข้างเนื่องจากมีคนขึ้นมามากเกินไป พอมาถึงกลางแม่น้ำก็ถูกคลื่นซัดพลิกคว่ำ เพื่อนบ้านที่หนีมาพร้อมกับข้าตลอดทางกระเสือกกระสนอยู่ในแม่น้ำส่งเสียงโหยไห้ ไม่นานก็ถูกคลื่นม้วนไปไม่เห็นแม้เงา…
ตอนยังอยู่ทางเหนือพวกเขาต่างเฝ้ารอให้ฮ่องเต้ของต้าอวี๋ส่งกำลังทหารมาตลอดเวลา เฝ้าหวังให้ขับไล่ชาวหูหลู่ออกไป ให้พวกเขาได้หมอบคารวะฮ่องเต้ของตน สวมใส่เสื้อผ้าของตน เพาะปลูกในที่ดินของตน เฝ้ารอมานานปีเพียงนั้น กองทัพต้าอวี๋เคยมาจริง ทว่าเพียงเลี้ยวมาแล้วก็จากไป อะไรก็มองไม่เห็น! มาถึงวันนี้ กระทั่งพื้นดินผืนสุดท้ายที่จะอยู่อาศัยก็ไม่มีแล้ว!
พวกเขาเพียงคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ขอตายอยู่ท่ามกลางสงคราม หลบพ้นจากการไล่ล่าสังหารตลอดทางจากคนทางเหนือมาได้ และไม่ถูกลูกธนูที่ยิงมาจากด้านหลัง ยามนั้นเพียงข้ามแม่น้ำสายนี้ไปได้ก็จะถึงดินแดนของชาวฮั่นที่เป็นฝ่ายตนแล้ว สิ่งเหล่านั้นมองเห็นอยู่ข้างหน้านี้เองแท้ๆ จู่ๆ กลับมีคลื่นลูกหนึ่งซัดมา สุดท้ายก็ไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้…’
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
‘นับแต่นั้นมาข้าก็บอกกับตนเอง วันหน้าถ้าข้าอยู่เหนือกว่าผู้อื่นได้ จะต้องระดมกำลังทหารไปปราบปรามทางเหนือ กอบกู้เมืองหลวงทั้งสอง ให้คนหูหลู่ไสหัวกลับไปดินแดนของตน ให้ชาวฮั่นได้ครอบครองผืนดินของบรรพบุรุษอีกครั้ง…เวลาผ่านมายี่สิบปีแล้วความตั้งใจเดิมของข้ายังไม่เคยเปลี่ยน’
น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบคล้ายกำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน
‘นับแต่ต้าอวี๋ข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ วีรบุรุษก็ปรากฏขึ้นมาไม่ขาดสาย ล้วนเป็นผู้อยู่ในตระกูลสูงศักดิ์สกุลขุนนาง มีผู้โดดเด่นมากมายที่นำกองทัพไปกอบกู้ดินแดนของชาวฮั่น บิดาของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เจ้ารู้หรือไม่ เพราะเหตุใดหมิงกง ยกทัพไปปราบปรามทางเหนือหลายครั้งล้วนล้มเหลวขณะใกล้จะประสบความสำเร็จ ยังไม่ทันเห็นผลก็ล้มเลิก’
เกาลั่วเสินค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง
‘หาใช่ชาวใต้เรากองกำลังทหารไม่กล้าหาญ แม่ทัพขาดกลยุทธ์ หากแต่เพราะตระกูลที่มีคุณูปการมาหลายชั่วคนต่างมีแผนการของตน เห็นแก่การแก่งแย่งชิงดีระหว่างตระกูลเป็นสำคัญ ไม่ปรารถนาจะเห็นสกุลเกาของเจ้าได้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวเพราะสร้างคุณูปการใหญ่ในการปราบปรามทางเหนือ และพยายามขัดขวางจากทางด้านหลังทุกวิถีทาง
ถึงเป็นสกุลเซียวที่เป็นราชวงศ์ เกรงว่าก็คงไม่ปรารถนาจะเห็นหมิงกงปราบปรามทางเหนือได้สำเร็จ หลังจากคนสกุลเซียวข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ ตั้งมั่นอยู่บนแผ่นดินด้านซ้ายของแม่น้ำฉางเจียงได้แล้วก็ไม่มีความคิดจะช่วงชิงเมืองหลวงเก่ากลับคืนมาอีก เขาจะยอมเห็นขุนนางมีความดีความชอบเหนือกษัตริย์ กดข่มราชวงศ์ได้อย่างไร’
เขามองนางแวบหนึ่ง หัวคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
‘ด้วยความสูงศักดิ์ของเจ้า วันนี้ยอมแต่งให้ข้าย่อมมีสิ่งที่เจ้ามุ่งหวัง ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากถามข้าแล้ว ข้าก็จะบอกให้เจ้ารู้ เรื่องภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่จนถึงตอนนี้ข้าไม่มีความคิดที่ไม่จงรักภักดี’
เขาชะงักไปชั่วขณะ แล้วเพิ่มน้ำหนักเสียง ‘แต่…ใครก็ตามที่ขัดขวางข้าจากการปราบปรามทางเหนือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ย่อมถือเป็นศัตรูของข้าหลี่มู่ ข้าจะต้องกำจัดเสีย!’
เกาลั่วเสินนิ่งฟังเขาพูดมาโดยตลอด นางนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน