หลายปีก่อน เมืองจิงโข่วมีเด็กชายวัยสิบขวบลี้ภัยหนีตายจากทางเหนือคนหนึ่ง ตอนมาถึงใหม่ๆ ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คน เพื่อจะหาค่ารักษาให้มารดาที่ป่วยหนัก ด้วยความอับจนหนทางจึงยอมรับจ้างใช้แรงงานด้วยค่าตอบแทนปีละสามสิบเฉียน เป็นเวลาหนึ่งปี ไปเป็นเด็กรับใช้ในเขตที่ดินศักดินาของสกุลจางตระกูลที่มีอำนาจมากในท้องถิ่นตระกูลหนึ่ง ทุกวันฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องตื่นขึ้นมาทำงานหนักงานสกปรกทุกอย่าง
เมื่อครบกำหนดหนึ่งปีตอนที่เขาสามารถจากไปได้แล้ว พ่อบ้านกลับใส่ความว่าเขาขโมยเงินของผู้เป็นนาย จะส่งตัวเขาให้ทางการ ถ้าเขาไม่อยากไปก็ต้องเซ็นสัญญาขายตัวชั่วชีวิต
ต่อมาเขาจึงรู้ว่านี่เป็นวิธีที่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นเหล่านี้หลอกใช้ผู้ลี้ภัยไร้รากเหง้า เพื่อจ่ายค่าตอบแทนต่ำที่สุดกักตัวเด็กรับใช้ไว้ใช้งานในเขตที่ดินศักดินาของตน
ด้วยความโกรธแค้นเขาจึงซัดพ่อบ้านจนล้มคว่ำไปกับพื้น จากนั้นก็ถูกเหล่าคนรับใช้กรูเข้ามาจับตัวไว้ หลังจากซ้อมเขาอย่างหนักไปชุดหนึ่งก็เอาตะปูเหล็กตอกทะลุฝ่ามือเขา
เขาถูกตอกฝ่ามือติดกับเสาต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างทางตรงปากประตูทางเข้าเขตที่ดินศักดินา ตากแดดตากลม ถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู
กว่ามารดาของเขาหลูซื่อ จะได้ข่าวและเร่งรุดมา เขาก็ถูกตรึงอยู่ข้างถนนมาสามวันแล้ว ไม่มีน้ำไม่มีข้าวตกถึงท้อง ริมฝีปากแห้งแตกมีโลหิตไหลซึม คนก็ถูกแสงแดดที่ร้อนแรงแผดเผาจนไม่ได้สติสมปฤดี
เขาฝืนร่างฟื้นขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องไห้พร่ำเพรียกหาของมารดา เห็นมารดาที่ร่างกายผ่ายผอมบอบบางคุกเข่าอยู่หน้าประตูเขตที่ดินศักดินาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล โขกศีรษะให้บรรดาทาสในครัวเรือนเหล่านั้น วิงวอนให้ไว้ชีวิตบุตรชายของนาง
ทาสในครัวเรือนเหล่านั้นกลับเท้าสะเอวหัวเราะเยาะ
มารดาของเขาหลูซื่อ เดิมเป็นบุตรีของตระกูลขุนนางทางเหนือ ตอนราชสกุลเซียวข้ามแม่น้ำลงใต้ สกุลหลูทั้งตระกูลไม่ได้ติดตามมาด้วย ภายหลังมาถึงด้านตะวันออกของแม่น้ำฉางเจียง อีกครั้งก็ช้าไปแล้ว ภายใต้การกดข่มของตระกูลขุนนางที่มีอำนาจราชศักดิ์ซึ่งหน้าที่การงานขึ้นสู่จุดสูงสุด คนสกุลหลูต้องตกอับกลายเป็นครอบครัวสามัญชนที่ยากจน หนทางที่บุตรหลานจะได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง หลายปีมานี้สมาชิกในครอบครัวแยกย้ายกระจัดกระจายต่างไปตามทางของตน ไม่มีใครยังจดจำได้ว่ามีสตรีในตระกูลผู้หนึ่งแต่งให้สกุลหลี่แห่งอำเภอซวีอี๋
มารดาไม่ควรถูกเหยียบย่ำให้เสื่อมเสียเกียรติเช่นนี้
เขาอยากจะเรียกมารดาของตนให้ลุกขึ้นมา แต่ลำคอกลับแหบแห้งจนเปล่งเสียงไม่ออก
ในเวลานี้เองก็มีเสียงกระดิ่งทองแดงไพเราะชวนฟังดังมาตามสายลม
ไกลออกไปบนถนนฝั่งตรงข้าม มีรถเทียมวัวคันหนึ่งแล่นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
วัวตอนตัวใหญ่แข็งแรงล่ำสัน ที่ลำคอมีกระดิ่งทองแดงสีเหลืองทองผูกอยู่อันหนึ่ง หน้าประทุนรถห้อยม่าน ตัวรถตกแต่งด้วยภาพวาดสีทองเคลือบเงา หน้าต่างที่อยู่ด้านข้างของประทุนรถเปิดออกครึ่งหนึ่ง คนบังคับนั่งตัวตรงอยู่หน้ารถ ฝีมือในการบังคับควบคุมยอดเยี่ยม ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวาของตัวรถ มีผู้คุมกันเดินเท้าติดตามมาสองแถว
เพียงเห็นก็รู้ นี่คงจะเป็นเจ้านายในตระกูลที่มีเงินและอำนาจของบ้านใดสักแห่งเดินทางผ่านมาทางนี้
ภาพที่เจ้านายเขตที่ดินศักดินาใช้อำนาจบาตรใหญ่ลงโทษทาสในเรือนเช่นนี้ บางทีสำหรับที่นี่อาจเป็นภาพที่เห็นกันจนเคยชินไม่ใช่เรื่องแปลก
รถเทียมวัวไม่ได้หยุดลง เพียงวิ่งผ่านข้างเสาที่ตอกตรึงฝ่ามือเขาต้นนั้นไป
ในอากาศทิ้งกลิ่นหอมของบุปผาจางๆ ไว้ระยะหนึ่ง
‘อาเจี่ย พวกเขาน่าสงสารเกินไปแล้ว ท่านช่วยพวกเขาสักหน่อยเถิด’
ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเด็กหญิงจากในรถเทียมวัวลอยมาตามสายลม ดังเข้ามาในหูเด็กหนุ่ม
เสียงนั่นคล้ายลูกนกขมิ้นที่เพิ่งหัดขับขาน เป็นเสียงไพเราะจับใจที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต
‘เราแค่เดินทางผ่านมา ยังคงอย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่นให้มากจะดีกว่า…’
เสียงเด็กสาวอีกคนที่ฟังดูอายุมากกว่าดังตามมา
‘แต่อาเจี่ย เขาดูไม่เหมือนคนเลว ช่างน่าสงสารยิ่งนัก’
‘เจ้าก็ใจอ่อนเสียจริง ฟังอาเจี่ยนะ นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าได้ไปยุ่ง…’
เด็กหญิงคล้ายทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและอับจนปัญญา
เด็กหนุ่มแข็งใจเงยหน้าขึ้น มองรถเทียมวัวที่เพิ่งวิ่งผ่านไปข้างหน้าคันนั้น
มุมหนึ่งของหน้าต่างด้านข้างประตูรถปรากฏดวงหน้าครึ่งหนึ่งของเด็กหญิงที่กำลังมองย้อนกลับมาพอดี
นางดูอายุราวหกเจ็ดขวบ สวมชุดสีเหลืองอ่อน ผิวพรรณขาวดุจหิมะ มีเส้นผมดำขลับ ดวงตากลมโตคู่หนึ่ง หน้าตานางงดงามยิ่ง ประดุจตุ๊กตาหิมะหยกตัวหนึ่ง
สายตาของนางในยามนี้มองจ้องมาที่ตน ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นอกเห็นใจ
เพียงชั่วแวบเดียวผ้าม่านผืนหนึ่งก็ถูกปล่อยลงมา ใบหน้าของเด็กหญิงหายไปจากด้านหลังหน้าต่าง
‘อาหมี ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าก็จะบอกอาหญิง ครั้งหน้าจะไม่พาเจ้าออกมาอีกแล้ว’
รถเทียมวัวค่อยๆ วิ่งไปไกล
‘ขอร้องพวกเจ้าแล้ว ปล่อยบุตรชายข้าก่อนเถิด ขืนยังไม่ปล่อยเขา เขาอาจจะตายได้…เงินที่เขาติดค้างพวกเจ้า ข้าต้องคิดหาวิธีใช้คืนแน่’
มารดายังอยู่ทางด้านนั้น หลั่งน้ำตาโขกศีรษะวิงวอนขอร้องเหล่าทาสเจ้าเล่ห์ ทั้งยังถูกหนึ่งในนั้นยกเท้าถีบไปที่ยอดอก นางล้มลงกับพื้น
‘เจ้าจะเอาอะไรมาชดใช้!’