อีกคนหนึ่งมองประเมินมารดา ‘ออกจะหยาบกร้านไปสักหน่อย แต่หากแต่งตัวขึ้นมาแล้วส่งไปปรนนิบัติคนก็น่าจะยังมีคนชื่นชอบอยู่!’
เสียงหัวเราะลามกสัปดนแซมด้วยเสียงร้องไห้อย่างสิ้นหวังของมารดาดังมาเข้าหูเขา
‘อาเหนียง ท่านไม่ต้องสนใจข้า’
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างจนเปลือกตาแทบฉีกขาด
ในช่วงเวลานี้เองไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากที่ใด เขาแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธออกมาคำหนึ่ง ออกแรงกระชาก ถึงกับดึงฝ่ามือข้างที่ถูกตอกติดกับเสาไม้ออกมาได้
ใจกลางฝ่ามือของเขามีโลหิตสดหยาดหยด แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย
ดวงตาทั้งสองของเขาแดงก่ำ ขณะวิ่งเข้าไปคว้าท่อนไม้ที่พื้นมาท่อนหนึ่ง ปกป้องอยู่ข้างกายมารดาของตน
คนที่อยู่รอบข้างตกใจจนทึ่มทื่อ พอได้สติกลับคืนมาก็เดือดดาลพากันโอบล้อมเข้ามาร้องตะโกนจะตีเขาให้ตาย
ในเวลานี้เองเสียงกระดิ่งทองแดงติงตังๆ ก็ดังใกล้เข้ามาอีกครั้งแล้ว รถเทียมวัวที่วิ่งผ่านไปเมื่อครู่คันนั้นถึงกับวิ่งย้อนกลับมาแล้วหยุดอยู่ข้างถนน
คนผู้หนึ่งท่าทางเหมือนพ่อบ้านเดินเข้ามาถามถึงมูลเหตุ
หลูซื่อดุจเห็นฟางข้าวช่วยชีวิต ทางหนึ่งหลั่งน้ำตา ทางหนึ่งก็เล่าความเป็นมาของเรื่องราว
คนผู้นั้นออกคำสั่งให้ปล่อยคน
เหล่าทาสเจ้าเล่ห์ย่อมไม่ยอม บอกอีกฝ่ายว่าอย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน ให้รีบจากไปเสีย
ฝ่ายตรงข้ามที่ดูเหมือนพ่อบ้านกลับยิ้มหยัน ‘เรื่องที่คนของบ้านเกากงต้องการจะยุ่งเกี่ยวก็เป็นเรื่องชาวบ้านหรือ’
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่า ‘เกากง’ คือคำเรียกที่คนในสมัยนั้นเรียกเจ้าบ้านสกุลเกาด้วยความยกย่อง
เหล่าทาสเจ้าเล่ห์ต่างตะลึงงันไปทันใด
สกุลจางแม้จะมีอำนาจอยู่ในเมืองจิงโข่ว พอจะกล้อมแกล้มจัดอยู่ในตระกูลขุนนางได้ แต่เปรียบกับสกุลเกาที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้าแล้ว เกรงว่าแม้แต่หิ้วรองเท้าให้ก็ยังไม่คู่ควร
ถ้าคนที่อยู่ในรถเทียมวัวมาจากสกุลเกาจริง พวกตนย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟัง
แต่ใครจะรู้ได้ พวกเขาใช่สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาคนหรือไม่ ถ้าปล่อยคนไปง่ายๆ เช่นนี้ วันหน้าข่าวแพร่กระจายออกไป สกุลจางจะเรียกคืนศักดิ์ศรีต่อหน้าตระกูลอื่นในจิงโข่วได้อย่างไร
ขณะที่เหล่าทาสเจ้าเล่ห์ลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้น ก็มีเสียงเยียบเย็นของเด็กสาวดังมาจากในประทุนรถ ‘พวกเจ้าเป็นคนของสกุลจางหรือ ตอนท่านลุงของข้าอยู่เมืองเจี้ยนคังก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่ากันว่าสกุลจางของพวกเจ้ากับขุนนางเมืองจิงโข่วสมคบคิดกัน อ้างชื่อราชสำนักแอบเพิ่มภาษีกันเอง ราษฎรที่กลับมาจากทางเหนือที่จ่ายไม่ไหวเหล่านั้นล้วนถูกพวกเจ้าเรียกคืนที่นาที่ทางราชสำนักแจกจ่ายให้ทำกิน ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่คนก็ถูกบีบบังคับให้ขายตัวเป็นเด็กรับใช้ในเขตที่ดินศักดินาของสกุลจางเจ้า! สกุลจางหาผลกำไรจากเรื่องนี้ไปกี่ส่วน ราชสำนักต้องเสียหายไปกี่ส่วน! เดิมทีข้ายังไม่เชื่อ วันนี้ดูแล้วเรื่องนี้น่าจะเป็นความจริง! เดิมจิงโข่วเป็นเมืองสำคัญที่ราชสำนักจัดให้ผู้ลี้ภัยที่กลับมาจากทางเหนือได้ทำมาหากิน สกุลจางเจ้าไม่คิดจะแบ่งเบาภาระแก้ปัญหาให้ทางราชสำนักก็แล้วไปเถิด แต่นี่ถึงกับฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์อันไม่สมควร กดขี่ราษฎรที่กลับจากทางเหนือของต้าอวี๋เรา ถ้ายังไม่ปล่อยคนกลับบ้านอีก คงรู้ถึงผลที่จะตามมา’
เด็กสาวอายุน่าจะไม่มากเท่าไรนักกลับมีน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างหนึ่ง
เหล่าทาสเจ้าเล่ห์ไม่กล้าระแวงสงสัยอีก รีบปล่อยตัวเด็กหนุ่มทันที
รถเทียมวัวเคลื่อนตัวอีกครั้ง กลับหัวรถแล้ววิ่งไปข้างหน้า
‘อาเจี่ย ขอบคุณท่านมาก…’
เสียงเยาว์วัยของเด็กหญิงดังแว่วขึ้นมาอีกครั้ง ในน้ำเสียงเจือความดีใจอยู่หลายส่วน
‘จนปัญญากับเจ้าจริงๆ คราวหน้าห้ามทำเช่นนี้อีก ใต้หล้ากว้างใหญ่เพียงนี้ เจ้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องมากมายเหล่านี้อย่างไรไหว…’
ท่ามกลางเสียงกระดิ่งทองแดงติงตังๆ เสียงนุ่มนวลของเด็กหญิงกับกลิ่นหอมของบุปผากลางสายลม ค่อยๆ จางหายไปในอากาศ…
ในเวลานั้นเด็กหนุ่มที่ถูกตะปูตอกทะลุฝ่ามือตรึงไว้ที่ข้างทางมีหรือจะกล้าเพ้อฝัน วันหนึ่งคนที่ต่ำต้อยเช่นเขาจะได้แต่งงานกับเด็กหญิงในรถเทียมวัวที่งามบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจหยก เขาเคยเห็นเพียงแวบเดียวก็ประทับตราตรึงอยู่ในหัวใจอย่างลึกซึ้งผู้นั้น…
หลี่มู่ยิ้มบาง แววตาที่มองเกาลั่วเสินเปลี่ยนเป็นละมุนละไมยิ่งขึ้น แต่แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกวิงเวียนตาลายขึ้นมา
เขาหลับตาลง ลองกำหมัดดู สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเขาได้เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัว เจือความสิ้นหวัง และเจ็บปวดรวดร้าวคล้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างหนึ่ง
‘เจ้าเล่นลูกไม้อะไรในจอกสุราของข้า’
เขาถามเสียงเฉียบขาดอย่างเน้นย้ำทีละคำ