บทที่สี่
เมื่อครู่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันในค่ำคืนนี้ นางได้เห็นเขายิ้มให้ตนอีกครั้ง
ยากจะจินตนาการได้ว่าต้าซือหม่าหลี่มู่ผู้มีอำนาจทั้งในราชสำนักและในหมู่ราษฎร ยามอยู่ในเรือนกับภรรยาจะเป็นคนอ่อนโยนละมุนละไมถึงเพียงนี้
นางถูกทำให้ตกใจจนตะลึงงันแล้ว และยิ่งตื่นตระหนกไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครู่ก่อนรอยยิ้มของเขากับแววตาที่มองมายังทำให้นางรู้สึกร้อนลวกที่หูอยู่แท้ๆ เพิ่งผ่านไปชั่วพริบตาเดียว เพราะเหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเพียงนี้ กระทั่งทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
เกาลั่วเสินมองใบหน้าซีดขาวที่เต็มไปด้วยความดุร้ายของหลี่มู่อย่างงุนงง ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ควรตอบอย่างไรดี
‘หลางจวิน…ท่านเป็นอะไรไป…ไม่สบายที่ตรงใดหรือ’
นางลังเลอยู่ชั่วขณะ ลองยื่นมือไปหาเขา แต่กลับถูกเขาปัดออก
นางยังไม่ทันตั้งสติได้ก็เห็นเขากระโดดลงจากเตียง คลุมเสื้อเปิดหน้าอก เดินเท้าเปล่าก้าวยาวๆ ไปยังชั้นวางอาวุธที่หน้าประตู ฝีเท้ากลับดูลอยๆ คล้ายคนเมาสุรา
ทว่าเพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวหลี่มู่ก็พลันนึกขึ้นมาได้
คืนนี้เป็นคืนมงคลสมรส อาวุธถือเป็นสิ่งอัปมงคล ชั้นวางนั่นถูกยกออกไปแล้ว
‘ใครอยู่ข้างนอก เข้ามา!’
เขาร้องเสียงเฉียบขาดออกไปทางด้านนอก ร่างพลันโงนเงนหัวไหล่เอียงวูบแล้วล้มทับไปบนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ด้านข้าง
จอกสุราและป้านสุราบนโต๊ะเตี้ยพากันร่วงหล่นลงกับพื้น เสียงแตกกระจายดังลั่น
ในที่สุดเกาลั่วเสินก็ตระหนักถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติ นางรีบคลุมเสื้อลงจากเตียง ไล่ตามมาคว้าแขนเขาพร้อมประคองไว้
‘หลางจวิน ท่านเป็นอะไรไป’
เขาไม่ได้ตอบ แต่แผดเสียงคำรามออกไปทางด้านนอก ‘เข้ามา!’ จากนั้นก็ผลักนางออกอีกครั้ง ล้มลุกคลุกคลานไปทางด้านนอกประตู
ทว่ายังไปไม่ถึงหน้าประตูคนก็หัวทิ่มล้มลงกับพื้น
มีเสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้นที่ด้านนอกประตู
ประตูถูกคนผลักเข้ามาอย่างรีบร้อน หญิงรับใช้ค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งของจวนสกุลหลี่ที่ก่อนหน้าถูกส่งตัวมาปรนนิบัติเกาลั่วเสินวิ่งเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว
‘ต้าซือหม่า แย่แล้ว!’
นางยังไม่ทันได้พูดจบก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนาคำหนึ่ง กระบี่คมกริบเล่มหนึ่งแทงทะลุแผ่นหลังออกมาที่หน้าอกของนาง คนล้มลงอยู่บนธรณีประตู
ตั้งแต่เล็กจนโตเกาลั่วเสินไหนเลยจะเคยเห็นภาพเช่นนี้ นางกรีดร้องออกมาคำหนึ่ง
ใบหน้าของหลี่มู่แนบพื้น สองตาปิดแน่น สีหน้าเจ็บปวดทรมาน เหงื่อเม็ดโตเท่าเมล็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผากของเขา โลหิตสดสีแดงอมดำสายหนึ่งไหลซึมออกมาจากมุมปากของเขาช้าๆ
เกาลั่วเสินตะลึงงันไปแล้ว
ในเวลานี้เองทหารในชุดเกราะกลุ่มหนึ่งก็กรูเข้ามาจากด้านนอกประตู ในมือของแต่ละนายถือกระบี่ถือดาบที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต พริบตาเดียวก็โอบล้อมหลี่มู่ไว้ตรงกลาง
เทียนมงคลวูบไหว แสงเทียนส่องสว่างดาบกระบี่และเสื้อเกราะบนร่างของทหาร แสงสีแดงฉานอันเย็นเยือกสาดประกายระยิบระยับ
ในที่สุดเกาลั่วเสินก็ได้สติกลับคืนมา
‘พวกเจ้าเป็นคนของผู้ใด คิดจะทำอะไร!’ นางที่ตื่นตระหนกและเดือดดาลยิ่งตวาดเสียงเฉียบขาด ขณะกำลังจะวิ่งไปหาหลี่มู่ก็เห็นบุรุษสองคนเดินเข้าประตูมา
‘อาเส่า! ท่านไม่ต้องกลัว!’
บุรุษหนุ่มใบหน้างามดุจหยกในมือถือกระบี่ยาวผู้นั้นวิ่งมาที่ข้างกายเกาลั่วเสินอย่างรวดเร็ว จับแขนนางไว้ ก่อนออกแรงดึงนางไปจากข้างกายหลี่มู่ที่ฟุบอยู่กับพื้น
คนผู้นี้ก็คืออดีตน้องสามีของนาง ลู่ฮ่วนจือน้องชายของลู่เจี่ยนจือ
ตอนลู่เจี่ยนจือยังมีชีวิตอยู่ ลู่ฮ่วนจือเลื่อมใสศรัทธาพี่ชายคนโตผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง รักเขาก็รักคนของเขาด้วย กับเกาลั่วเสินเขาก็ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก หลังจากลู่เจี่ยนจือโชคร้ายตายจากการยกทัพไปปราบปรามซีสู่เมื่อเจ็ดปีก่อน เกาลั่วเสินก็ใช้ชีวิตในฐานะแม่ม่ายมาโดยตลอด ลู่ฮ่วนจือก็เรียกนาง ‘อาเส่า’ ไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกหามาโดยตลอด
บุรุษวัยฉกรรจ์อีกคนก็คือซินอันหวังเซียวเต้าเฉิงผู้เป็นเชื้อพระวงศ์
ก่อนไท่คังฮ่องเต้จะสวรรคตในระหว่างทางหลบหนีภัย เขากับหลี่มู่ต่างถูกกำหนดให้ช่วยดูแลงานราชกิจของแผ่นดินร่วมกัน หลังจากหลี่มู่กุมอำนาจการบริหาร เซียวเต้าเฉิงถูกบีบให้ต้องคล้อยตาม คืนนี้หลี่มู่แต่งงานกับเกาลั่วเสิน เซียวเต้าเฉิงย่อมนั่งในตำแหน่งแขกผู้มีเกียรติ
ทันทีที่เห็นลู่ฮ่วนจือกับเซียวเต้าเฉิง เพียงเวลาชั่วประกายไฟแลบเกาลั่วเสินก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างในทันที
ยี่สิบกว่าปีมานี้นางมีบิดา พี่ชาย และคนในครอบครัวคอยปกป้องคุ้มครองอย่างดียิ่ง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่รู้อะไรเลย
ที่แท้เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการที่อาเจี่ย เชื้อพระวงศ์ และสกุลลู่วางไว้ทั้งสิ้น