ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทของเซียวเต้าเฉิง เพื่อความมั่นใจว่าคืนนี้พอลงมือแล้วจะประสบผลแน่นอนจึงคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ไม่มีนายใดไม่องอาจห้าวหาญ
แต่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่ผู้นี้กลับเป็นเทพสงครามแห่งราชวงศ์ใต้ที่เคยนำทัพต้าอวี๋ไปปราบปรามทางเหนือมาหลายครั้งทำให้ชาวหูนับร้อยหมื่นเพียงได้ยินชื่อสีหน้าก็แปรเปลี่ยน
แม้เวลานี้เขาจะเป็นเสมือนสัตว์ที่อยู่ในกรง เป็นนกอินทรีปีกหัก แต่พละกำลังห้าวหาญน่าตื่นตะลึงของเขาก็ทำให้ทุกคนหวาดกลัว และยิ่งถูกสยบด้วยพลานุภาพอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาทั่วร่างของเขา เขาก้าวเท้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เหล่าทหารชุดเกราะก็จะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ถึงกับไม่มีคนกล้าเข้าขวางอีก
เซียวเต้าเฉิงคาดคิดไม่ถึงว่าหลี่มู่ที่ถูกพิษร้ายแรงแล้วยังองอาจห้าวหาญถึงเพียงนี้
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง หมุนตัวจะล่าถอย แต่ช้าไปเสียแล้ว หลี่มู่ขว้างกระบี่ยาวในมือมาที่แผ่นหลังเขาทันที
กระบี่ยาวดุจหัวธนูพุ่งตามมาถึงประหนึ่งดาวตก
การขว้างกระบี่ออกไปในครั้งนี้คล้ายรวบรวมพละกำลังครั้งสุดท้ายของหลี่มู่เอาไว้ทั้งหมด ตัวกระบี่ปักลึกเข้าไปในแผ่นหลังของเซียวเต้าเฉิง ทะลุหน้าอกออกมา เพราะพลังที่ส่งมายังเหลืออยู่ ผ่านไปพักใหญ่ ด้ามกระบี่ก็ยังคงสั่นน้อยๆ
ร่างของเซียวเต้าเฉิงล้มคว่ำไปกับพื้น
ทหารชุดเกราะนายหนึ่งในที่สุดก็ตั้งสติได้ แผดเสียงคำรามออกมาคำหนึ่ง แล้วแทงกระบี่จากทางด้านหลังเข้าไปที่แผ่นหลังของหลี่มู่
กระบี่แทงทะลุอกหลี่มู่ เขาค่อยๆ หมุนตัวมา มองจ้องทหารชุดเกราะที่จู่โจมตนนายนั้น แล้วยืนตระหง่านนิ่ง
รอบด้านเงียบสงัดราวกับตายกันไปหมดแล้ว มีเพียงเสียงโลหิตจากหน้าอกและแผ่นหลังของหลี่มู่หยดลงสู่พื้นดังติ๋งๆ เบาๆ
สายลมยามราตรีหอบหนึ่งพัดเข้ามา แสงเทียนแดงสั่นไหววูบวาบ ใบหน้าที่อาบย้อมไปด้วยโลหิตสดของเขากึ่งมืดกึ่งสว่างอยู่ภายใต้แสงเทียน ประหนึ่งอสูรร้ายที่มาจากนรกอเวจี
ทหารชุดเกราะนายนั้นมองสบตาหลี่มู่อยู่ชั่วขณะ ใบหน้าค่อยๆ ปรากฏแววหวาดกลัว
‘ต้าซือหม่า โปรดไว้ชีวิตข้า…’
เขาปล่อยมือจากด้ามกระบี่ ล้มก้นกระแทกลงไปนั่งกับพื้น จากนั้นก็ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลาน หนีออกไป
หลี่มู่พลิกฝ่ามือดึงกระบี่ที่ปักอยู่บนแผ่นหลังอาบย้อมไปด้วยโลหิตของตนออกมา นัยน์ตาที่แดงฉานไปด้วยโลหิตทั้งสองข้างกวาดมองไปยังทหารรอบด้านที่เหลืออยู่ด้วยแววตาคมกริบดุจนกอินทรีดุดันดุจหมาป่า
ทหารทั้งหลายมองเขาด้วยความตื่นตระหนกหวาดผวา แล้วถอยหลังไปช้าๆ
ก็ไม่รู้ใครเป็นคนเริ่มต้นก่อน พริบตาเดียวก็แย่งชิงกันวิ่งออกไปจากห้อง
ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยโลหิต ในห้องที่ว่างเปล่าวังเวงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณหลายร่างนอนเกลื่อนกลาด
เคร้ง…มีเสียงดังขึ้น หลี่มู่โยนกระบี่ลงกับพื้น
เขากลืนรสคาวเค็มที่ทะลักจากหน้าอกขึ้นมาถึงลำคอไม่หยุด หันหน้ามาช้าๆ มองเกาลั่วเสินที่ยังนั่งอยู่ที่พื้น
ใบหน้าของนางในยามนี้ซีดขาวราวกับคนตาย ดวงตางามทั้งสองเบิกกว้างทว่าดูว่างเปล่า เหม่อมองเขาที่เดินซวนเซทีละก้าวๆ มาถึงเบื้องหน้านาง สุดท้ายก็หยุดลงในระยะห่างจากนางเพียงชั่วหนึ่งตัวคน
ทั้งสองต่างจ้องมองอีกฝ่ายอยู่เช่นนี้
นางหลั่งน้ำตา…ส่วนเขาหลั่งโลหิต
โลหิตไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขาไม่หยุด ร่างของเขาเริ่มโงนเงนแล้ว
ฉับพลันนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็ล้มลงมาดุจดังยอดเขาพังทลายลงทั้งลูก กดทับอยู่บนร่างของนาง
เกาลั่วเสินถูกร่างกายที่หนักอึ้งของเขากดทับจนหงายหลังล้มลงกับพื้น
ลมหายใจของนางเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต…นั่นเป็นกลิ่นโลหิตของเขา
นางรู้สึกได้ถึงฝ่ามือเปียกชื้นเย็นเฉียบคู่หนึ่งค่อยๆ ลูบคลำมาถึงลำคอเรียวบางเกลี้ยงเกลาของนาง สุดท้ายก็บีบกระดูกคอด้านหลังของนางไว้ ลูบไล้อย่างทะนุถนอมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ออกแรงบีบ
ความเจ็บปวดราวถูกคว้านหัวใจแผ่ลามขึ้นมาชั่วขณะ
ขอเพียงเขาออกแรงอีกเพียงนิดเดียว ลำคอที่อ่อนแอบอบบางของนางก็คงจะหักดุจต้นอ้อ
นางหลับตาลง ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งฉากที่คาดคิดไว้ก็ยังไม่เกิดขึ้น
มือคู่นั้นถึงกับค่อยๆ คลายออก