ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 5-บทที่ 6
ครั้นเรือมาถึงเกาะไป๋ลู่ เกาลั่วเสินก็นั่งเกี้ยวมาถึงเรือนรับรอง แต่มารดากลับไม่อยู่
บ่าวไพร่บอกว่ามารดาของนางไปอารามจื่ออวิ๋นที่อยู่ละแวกใกล้เคียง
ในเวลานี้ศาสนาเต๋าเป็นที่นิยมโดยทั่วไป คำสอนของเทียนซือ แพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน กระทั่งคนในวงศ์สกุลขุนนางและราชวงศ์ก็ไม่ขาดผู้เลื่อมใสศรัทธา
อย่างเช่นสกุลลู่ พี่น้องของลู่เจี่ยนจือทุกคน ที่มีชื่อลงท้ายด้วยคำว่า ‘จือ’ ก็เพราะลู่กวงบิดาของลู่เจี่ยนจือเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาเต๋า
อารามจื่ออวิ๋นเป็นอารามนักพรตสตรีของราชวงศ์ที่มีพระราชโองการให้สร้างขึ้น เหลี่ยวเฉินจื่อเจ้าอารามอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว กล่าวกันว่ามีความเชี่ยวชาญในการหลอมยา รูปร่างหน้าตาดูเหมือนเพิ่งอายุสี่สิบกว่า นางเดินหมากแต่งบทกวีได้ มารดาที่พักอาศัยอยู่บนเกาะนาน มักมาที่อารามคอยเดินหมากสนทนาธรรมกับเหลี่ยวเฉินจื่ออยู่เสมอ
เกาลั่วเสินจำต้องเปลี่ยนทิศทางไปอารามจื่ออวิ๋นแทน
หนทางไม่ไกล แค่ครู่เดียวก็ถึงแล้ว
เซียวหย่งจยากำลังเดินหมากอยู่กับเหลี่ยวเฉินจื่อ เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวมาแล้วก็รีบลุกออกมา
เหลี่ยวเฉินจื่อเดินตามมาข้างๆ พอเห็นเกาลั่วเสินก็สะบัดแส้ปัดในมือ พนมมือคารวะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เปี่ยมไมตรีจิต
ไม่รู้เพราะเหตุใด เกาลั่วเสินไม่ชอบนักพรตหญิงสูงวัยหน้าขาวผู้นี้แม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ แม้แต่พบฮ่องเต้ผู้เป็นน้าชาย นางก็ยังไม่ต้องแสดงความเคารพเลย ย่อมไม่มีความจำเป็นที่นางต้องไปใส่ใจคนที่ตนไม่ชอบหน้า
เกาลั่วเสินไม่ได้สนใจนักพรตหญิงสูงวัย เพียงโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดเซียวหย่งจยา “อาเหนียง สองวันก่อนลูกหกล้ม!”
เซียวหย่งจยาอายุน้อยกว่าเกาเฉียวบิดาของเกาลั่วเสินห้าปี นางให้กำเนิดเกาลั่วเสินตอนอายุยี่สิบ ปีนี้อายุสามสิบหกแล้ว แต่ดูแล้วก็ยังสาวอยู่มาก
นางสวมชุดคลุมแบบเต๋าที่สุภาพสง่างาม ยิ่งขับเน้นรูปโฉมของนางให้ดูงดงามเป็นพิเศษ ยืนอยู่ด้วยกันกับเกาลั่วเสิน บอกว่านางเป็นพี่สาวที่โตกว่าสักหน่อย เกรงว่าก็คงมีคนเชื่อ
โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับบิดาที่เพิ่งอายุสี่สิบจอนผมสองข้างก็มีสีขาวแซมแล้ว ความสาวและความงามของมารดามักทำให้เกาลั่วเสินนึกเห็นใจบิดาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว…แม้นางเองก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเป็นเพราะเหตุใด มารดาจึงร้าวฉานกับบิดาจนถึงขั้นนี้ได้ แยกกันอยู่อย่างเปิดเผยมาหลายปี ไม่ยอมกลับเข้าเมืองทำให้คนทั้งเมืองเจี้ยนคังต่างหัวเราะเยาะบิดาลับหลัง บอก ‘เซี่ยงกง กลัวภรรยา’
นี่คงเป็นเรื่องเดียวในชีวิตของบิดาที่ถูกคนนินทาหัวเราะเยาะลับหลัง
กับสามีเซียวหย่งจยาไม่ถามไม่ไถ่ถึง แต่กับบุตรสาวกลับรักใคร่เป็นที่สุด พอได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นตะลึง รีบกอดเกาลั่วเสินแน่น “ไม่เป็นไรมากกระมัง เจ็บตรงใดบ้าง เหตุใดไม่ส่งคนมาบอกอาเหนียง”
เกาลั่วเสินบอก “ลูกล้มแรงมาก วันนี้ก็ยังปวดศีรษะไม่น้อย ก็เพราะกลัวอาเหนียงจะเป็นห่วง ถึงไม่ให้คนมาบอกให้ท่านรู้”
เซียวหย่งจยารีบประคองเกาลั่วเสินออกจากอารามเต๋า สองแม่ลูกนั่งเกี้ยวกลับเรือนรับรองด้วยกัน เรียกเกาชีมาสอบถามเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียด รู้ว่าเกาลั่วเสินไม่เป็นอะไรมากจึงได้วางใจ เพียงดุด่าฉยงซู่กับอิงเถาสาวใช้ประจำตัวบุตรสาวอย่างหนักคราหนึ่ง
สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าอยู่กับพื้น โขกศีรษะยอมรับผิดไม่หยุด
ชั่วขณะนั้นเกาลั่วเสินคิดไม่ถึงว่ามารดาจะพานโกรธสาวใช้จึงรีบเข้ามาขัดจังหวะ สองมือน้อยที่อวบอูมดึงแขนเสื้อชุดคลุมแบบเต๋าที่กว้างใหญ่ไว้ บิดร่างไปมา “คราวหน้าลูกจะระมัดระวัง อาเหนียง ลูกคิดถึงท่านนะเจ้าคะ”
เช่นนี้เซียวหย่งจยาถึงได้ยอมเลิกรา ไล่ฉยงซู่กับอิงเถาที่ใบหน้าซีดเผือดออกไป ก่อนลูบไล้ใบหน้าบุตรสาวที่ถูกลมแม่น้ำพัดจนออกจะชื้นเย็นด้วยความรัก “อาเหนียงก็คิดถึงเจ้า กำลังคิดจะให้คนไปรับเจ้ามาอยู่เชียว แต่เจ้าก็มาพอดี อยู่เป็นเพื่อนอาเหนียงสักหลายวันไม่ต้องกลับไปในเมืองแล้ว”
“อาเหนียง ลูกก็อยากอยู่เป็นเพื่อนท่านที่นี่ แต่เกรงจะไม่สะดวก หลายวันมานี้อาเหยีย ไม่ค่อยสบาย…”
นางชำเลืองมองสีหน้ามารดา
“ทุกหนแห่งล้วนไม่สงบสุข เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ นอนอยู่ในห้องหนังสือบ่อยๆ ลูกกลัวว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายของอาเหยียจะทนไม่ไหว ลูกเตือนอาเหยียแล้ว แต่อาเหยียไม่ฟังลูก…”
รอยยิ้มบนใบหน้าเซียวหย่งจยาค่อยๆ จางหาย ชายตามองบุตรสาวปราดหนึ่ง “เจ้าคิดจะหลอกล่ออาเหนียงให้กลับไปอีกแล้ว ตาแก่นั่นไม่คำนึงถึงความเป็นความตายแล้วเกี่ยวอะไรกับอาเหนียง อาเหนียงกลับไปแล้วเขาก็จะหายอย่างนั้นรึ!”
“อาเหยียไม่ใช่ตาแก่เสียหน่อย…”
เกาลั่วเสินมุ่ยปาก พึมพำเบาๆ อย่างไม่ชอบใจ
เซียวหย่งจยาแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง “อย่าคิดว่าอาเหนียงไม่รู้ จิตใจคับแคบของเจ้าช่างลำเอียงยิ่งนัก! ถ้าเจ้ามาเยี่ยมอาเหนียง อาเหนียงดีใจยิ่ง แต่ถ้าจะมาเกลี้ยกล่อมให้อาเหนียงกลับไปก็อย่าได้คิด! ต่อให้เขาป่วยตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอาเหนียง!”
นิ้วมือขาวนุ่มนิ่มของเกาลั่วเสินบิดสายรัดเอวที่ห้อยลงมาเส้นหนึ่งไม่หยุด ฟันขาวดุจไข่มุกกัดกลีบปากแน่น มองเซียวหย่งจยาโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว ขอบตาค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น
อาจวี๋เห็นแล้วอดปวดใจไม่ได้ รีบเดินเข้ามา
“องค์หญิงใหญ่ เซี่ยงกงป่วยอยู่ ทั้งระยะนี้การงานก็มาก เกรงว่าคงจะดูแลแม่นางน้อยได้ไม่ทั่วถึง ไม่สู้ให้ข้ากลับไปดูแลปรนนิบัติแม่นางน้อยสักหลายวัน องค์หญิงใหญ่เห็นเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
อาจวี๋เป็นอาหมัวข้างกายเซียวหย่งจยา ตอนเกาลั่วเสินยังเล็กก็ได้นางช่วยดูแลไม่น้อย
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ น้ำตาแห่งความน้อยใจของเกาลั่วเสินก็ไหลพรากลงมา
อาจวี๋ยิ่งปวดใจอย่างมาก นางเช็ดน้ำตาให้เกาลั่วเสิน
เกาลั่วเสินจึงซุกหน้าเข้าไปในอ้อมอกของอาจวี๋เสียเลย
เซียวหย่งจยามองเงาด้านหลังบุตรสาวแวบหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลายลง “ก็ดี อาจวี๋ เจ้ากลับไปกับนางเถิด ช่วยดูแลนางแทนข้าสักหลายๆ วัน”
อาจวี๋รีบรับคำ กระซิบปลอบโยนเกาลั่วเสิน
ตอนเกาลั่วเสินออกจากเกาะไป๋ลู่ ขอบตายังแดงอยู่เล็กน้อย กระทั่งพลบค่ำกลับมาถึงในเมือง ถึงได้ดูเป็นปกติดังเดิม ตอนใกล้จะถึงหน้าจวนนางก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“อาหมัว เจออาเหยียของข้าแล้วเจ้าก็บอกว่าอาเหนียงรู้ว่าเขาป่วย จึงให้เจ้ากลับมาดูแลเขาแทนนางโดยเฉพาะ”
อาจวี๋พยักหน้า “แม่นางน้อยไม่บอก ข้าก็คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว”
เกาลั่วเสินมองอาจวี๋ “อาหมัว ข้าได้ยินว่าเมื่อก่อนเป็นอาเหนียงจะแต่งให้อาเหยียเอง แต่มาบัดนี้อาเหนียงกลับใจดำไม่สนใจอาเหยีย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”
อาจวี๋กลัวเกาลั่วเสินจะถามเรื่องนี้มากที่สุด ได้แต่ตอบอย่างคลุมเครือ “ข้าก็ไม่ทราบ…”
เกาลั่วเสินทอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง “อาหมัว ถ้าอาเหนียงยอมคืนดีกับอาเหยียจะดีสักเพียงใด…”
อาจวี๋ปากก็เออออ ทว่าในใจกลับแอบทอดถอนใจ
เรื่องของสามีภรรยาพอปิดประตูลง ใครได้รับความไม่เป็นธรรม ใครใจแข็งเป็นหิน คนภายนอกเพียงเห็นภาพภายนอก ไหนเลยจะรู้เรื่องภายใน
ก็เหมือนกับคนดื่มน้ำ…เย็นร้อนก็มีแต่เจ้าตัวที่รู้