เขารับคำอย่างคลุมเครือไปสองสามคำ ฉับพลันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หัวคิ้วจึงคลายลง
“อาหมี วันนี้มีข่าวดีจากทางเหวินโจวส่งมา เหตุวุ่นวายในแคว้นหลินอี้สงบลงแล้ว อีกไม่กี่วันอี้อันก็จะกลับมา”
แคว้นหลินอี้เกิดเหตุวุ่นวายภายในครั้งนี้ คนที่ราชสำนักมอบหมายให้นำกองกำลังทหารไปช่วยหลินอี้หวังปราบจลาจลก็คือลู่เจี่ยนจือ
บรรพบุรุษของเกาลู่สองสกุลมีสัมพันธไมตรีต่อกัน หลังจากอพยพข้ามแม่น้ำมา ต่างก็เป็นสกุลใหญ่ที่เป็นขุนนางมาหลายชั่วคนนับหนึ่งนับสองในยุคปัจจุบัน และผูกสัมพันธ์กันด้วยการแต่งงาน
เกาลั่วเสินกับลู่ซิวหรง บุตรสาวสกุลลู่เป็นสหายสนิทที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กับลู่เจี่ยนจือพี่ชายคนโตของลู่ซิวหรงก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
ลู่เจี่ยนจือไม่เพียงถูกคนสกุลลู่เห็นเป็นผู้รับช่วงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลในรุ่นหนุ่ม เขายิ่งเป็นผู้โดดเด่นในหมู่บุตรหลานตระกูลขุนนางของเมืองเจี้ยนคังด้วย
เกาลั่วเสินนับแต่รู้ความก็รู้ว่าสองสกุลมีเจตนาจะเกี่ยวดองกันผ่านการสมรส
บิดามารดาของนางเห็นลู่เจี่ยนจือเป็นที่พึ่งพาที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตครึ่งหลังของนาง ทางสกุลลู่ก็ตระเตรียมที่จะแต่งบุตรสาวสกุลเกาไว้แล้ว
หลังจากนางเข้าพิธีปักปิ่นเมื่อปีที่แล้ว สองตระกูลก็มีเจตนาจะเจรจาเรื่องการแต่งงานแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะภายหลังมีข่าวสงครามทางเหนือเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันและหลินชวนหวังก่อกบฏ เวลานี้สองบ้านคงกำหนดเรื่องแต่งงานกันเรียบร้อยไปแล้ว
ตั้งแต่ยังเล็กเกาลั่วเสินก็เรียกลู่เจี่ยนจือว่า ‘อาซยง’ ตามลู่ซิวหรง ทุกครั้งที่นึกถึงเขาในใจนางก็รู้สึกอบอุ่น
วันหน้าถึงแต่งไปสกุลลู่แล้ว กล่าวสำหรับนางก็เหมือนเปลี่ยนบ้านที่อยู่อาศัยเท่านั้น ข้างกายยังคงเป็นคนที่นางคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็กจนโตเหล่านั้น นางรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
เมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น นางที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวทางโลกแล้ว
นางเริ่มกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ด้วยเรื่องของบิดามารดา ครึ่งปีกว่ามานี้ก็เป็นห่วงเกาหวนญาติผู้น้อง กับลู่เจี่ยนจือที่อยู่ข้างนอกมาโดยตลอด ในใจเฝ้าปรารถนาให้การสู้รบยุติ พวกเขาได้กลับมาอย่างปลอดภัยในเร็ววัน
จู่ๆ มาได้ยินข่าวนี้ เรื่องที่ห่วงกังวลเรื่องหนึ่งในที่สุดก็สิ้นสุดลง เกาลั่วเสินอดคลี่ยิ้มไม่ได้
“รออาเหยียว่างกว่านี้หน่อยก็จะปรึกษาหารือเรื่องการแต่งงานกับสกุลลู่ ดีหรือไม่”
เกาเฉียวเย้าบุตรสาว
“อาเหยีย! ลูกไม่แต่ง!”
เกาลั่วเสินหน้าแดงแล้ว นางในยามนี้เต็มไปด้วยท่าทีขวยเขินของเด็กหญิงตัวน้อย
เกาเฉียวมองนาง เพียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
เกาลั่วเสินหน้ายิ่งแดงมากขึ้น
“ไม่คุยกับอาเหยียแล้ว! ลูกจะไปดูยาของจวี๋อาหมัว!”
นางลุกจากตั่งที่นั่งอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นเดินมุ่งออกไปข้างนอก
เกาเฉียวมองเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นที่จากไปของบุตรสาวด้วยสีหน้าอมยิ้ม
ส่วนลึกในใจเขา แม้จะไม่อาจตัดใจให้บุตรสาวแต่งออกไป แต่จะช้าหรือเร็วย่อมต้องมีวันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะรั้งนางให้อยู่ข้างกายไปชั่วชีวิต
ดีที่ลู่เจี่ยนจือไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัย ความประพฤติ รูปร่างหน้าตา หรือสติปัญญาความสามารถ ล้วนไม่มีสิ่งใดให้ติ การฝากชีวิตบุตรสาวไว้กับเขาก็นับว่าสามารถวางใจได้
ใบหน้าของเกาลั่วเสินยังร้อนอยู่ นางเพิ่งเดินไปถึงประตูห้องหนังสือก็เห็นเกาชีถือจดหมายฉบับหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจยิ่ง
เกาชีเป็นคนเก่าแก่ของสกุลเกา ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ปกติไม่ค่อยเคยเห็นเขายั้งสติไม่อยู่เช่นนี้ คนยังมาไม่ถึงหน้าประตูก็ส่งเสียงร้องเรียกมาก่อนแล้ว “เซี่ยงกง แย่แล้วขอรับ! เมื่อครู่สวี่ซือถู ให้คนส่งจดหมายด่วนมา เกิดเรื่องกับลิ่วหลางแล้วขอรับ!”
พูดไปคนก็วิ่งเข้ามา พร้อมเอาจดหมายยื่นให้
‘ลิ่วหลาง’ ก็คือคำเรียกหาที่คนในบ้านเรียกเกาหวนญาติผู้น้องของเกาลั่วเสิน
เกาลั่วเสินตะลึงงัน นางชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมา เห็นบิดาลุกขึ้นมาจากตั่งที่นั่งทันที รับจดหมายไป เปิดออกพลางกวาดตาอ่าน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“อาเหยีย อาตี้ เป็นอะไรไป”
เกาลั่วเสินซักไซ้ เห็นบิดานิ่งเงียบไม่พูด นางก็เดินย้อนกลับไปดึงจดหมายมาจากมือเขา