บทที่แปด
คืนนั้นกองทัพใหญ่ก็ตั้งค่ายเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จรางวัลกันที่นอกเมืองตันหยาง ในกองทัพเชือดสุกรล้มแพะ ไม่ห้ามดื่มสุรา คบไฟแดงฉานไปทั่วทุกแห่ง เสียงตะโกนเล่นทายนิ้วมือเคล้ากับเสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานดังก้องไปทั้งนอกและในประตูค่าย
“ดื่ม!”
“พวกเราเสี่ยงตายอยู่แนวหน้า พวกเขากระทั่งหน้าของทหารกบฏก็ยังไม่เคยเห็น ทุกครั้งความดีความชอบครั้งใหญ่กลับเป็นของพวกเขาเหล่านั้น!”
“หลี่กองนอก พี่น้องทั้งหลายผลัดกันมาคารวะสุราท่าน! ท่านกล้ารับหรือไม่”
ในมุมที่ไม่สะดุดตามุมหนึ่งของค่ายใหญ่ คบไฟพันด้วยผ้าชุบน้ำมันถง ลุกไหม้ส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะ เปลวไฟลุกโชนสั่นไหว ส่องสะท้อนดวงหน้าแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์สุราเป็นดวงๆ
นายทหารชั้นผู้น้อยกับพลทหารกลุ่มหนึ่งในกองทัพกำลังห้อมล้อมหลี่มู่อยู่ ชิงกันคารวะสุราเขา สายตาที่มองเขานอกจากเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ยิ่งเจือไปด้วยความโกรธแค้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทุกครั้งที่ทำศึกได้รับชัยชนะ ในกองทัพจะปูนบำเหน็จตามความดีความชอบ นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
การศึกก่อนหน้านี้ หลินชวนหวังรู้ว่าตนไม่มีทางให้ถอยแล้ว จึงต่อสู้ประหนึ่งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของสัตว์ที่ถูกปิดล้อม อิงชัยภูมิที่ได้เปรียบทำการต่อต้านอย่างดื้อรั้น
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขายังมีกำลังทหารที่ปกครองมานานปีอีกสองหมื่นนาย ทั้งยึดครองชัยภูมิที่สะดวก
ถ้าตอนนั้นไม่ใช่หลี่มู่ขี่ม้าบุกเข้าไปในทัพข้าศึกดุจสายฟ้าแลบประหนึ่งทหารเทพลงมาจากสวรรค์ พาเกาหวนแห่งสกุลเกาที่เดิมจะกลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบกลับมาได้ ทำให้ฐานที่มั่นของหลินชวนหวังชุลมุนวุ่นวายไปทันใด และทำให้ทหารฝ่ายราชสำนักขวัญกำลังใจฮึกเหิมขึ้นอย่างมาก และฉวยโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทันตั้งรับเปิดฉากโจมตีอย่างรุนแรง จิตใจทหารกบฏที่จะต่อสู้พังทลายไปหมด กองทัพพ่ายแพ้ดุจภูเขาโค่นล้มลงมา เดิมการศึกครั้งนี้จะต้องเป็นการทำศึกที่นองไปด้วยโลหิตแท้ๆ
แต่ถ้ายังไม่ถึงช่วงสุดท้าย…ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าตัดสินผลแพ้ชนะ
วันนั้นในสมรภูมิรบทุ่งกว้างเก่าแก่ที่มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุดผืนนั้น ขณะกองทัพทั้งสองประจันหน้ากันอยู่ เขาถืออาวุธครบมือ ดาบยาวเล่มหนึ่ง โล่เหล็กอันหนึ่ง ทลายกำแพงมนุษย์ที่ขวางอยู่ด้านหน้า สั่งม้าให้เหยียบย่ำลงไปบนซากศพบุกรุดไปข้างหน้าทำให้ทหารข้าศึกอกสั่นขวัญกระเจิง ถอยหนีไปสามเซ่อ ส่งผลให้สุดท้ายถึงกับไม่มีใครกล้าขวาง ได้แต่ตกตะลึงพรึงเพริดมองเขาพาตัวเกาหวนกลับไป ท่ามกลางทหารและม้านับพันนับหมื่นนาย และลูกศรที่ยิงไล่ตามหลังมา
ขอเพียงเป็นคนที่เห็นภาพนี้ด้วยตาของตนเองในวันนั้น แม้เวลาจะผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้ว เวลานี้เมื่อนึกขึ้นมาก็ยังคงทำให้คนโลหิตร้อนระอุเดือดพล่าน
หลี่มู่แม้จะเป็นเพียงซือหม่ากองนอกนายหนึ่ง อายุก็ยังน้อย แต่เข้ามาเป็นทหารหลายปีแล้ว เกิดมาในช่วงกลียุค บ้านเมืองวุ่นวายจากภัยสงคราม หากบอกว่าเคยผ่านศึกสงครามมานับร้อยก็ไม่เกินไปแม้แต่น้อย
ตอนหลี่มู่เข้าเป็นทหารครั้งแรก เริ่มจากเป็นพลทหารชั้นต่ำสุด แล้วเป็นอู่จ่าง สือจ่าง นายกองร้อย กระทั่งสองปีก่อนด้วยอายุไม่ถึงยี่สิบปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซือหม่ากองนอกที่สามารถมีค่ายทหารเป็นของตนเองได้ โดยอาศัยผลงานการทำศึกที่สั่งสมมาในแต่ละครั้ง
ในกองทัพที่อยู่ในปกครองของสวี่มี่ซึ่งเดิมตั้งอยู่ทางต้นน้ำของเจียงเป่ยนี้ เมื่อเอ่ยถึงหลี่มู่ที่ฮึกเหิมห้าวหาญเชี่ยวชาญการทำศึกแล้ว แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก กอปรกับผู้คนต่างเคารพนับถือที่บิดาและปู่ของเขาสละชีพเพื่อบ้านเมือง เขาในหมู่นายทหารชั้นผู้น้อยและพลทหารก็นับว่ามีอำนาจและบารมีอย่างยิ่ง
หลังจากเขารับตำแหน่งซือหม่ากองนอก เหล่าทหารหาญไม่มีใครไม่รู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถเข้ามาอยู่ในค่าย และได้เป็นทหารในสังกัดของเขา
ทหารสามร้อยนายในบังคับบัญชาของเขา แต่ละคนล้วนกล้าหาญไม่กลัวตาย กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ทุกการทำศึกจะบุกตะลุยโจมตีข้าศึกร่วมกันกับเขาอย่างลืมความเป็นความตาย
จนกระทั่งครึ่งเดือนก่อนการศึกครั้งนั้นถึงทำให้เขาได้กลายเป็นประหนึ่งเทพเจ้าที่ทุกคนเลื่อมใสหวังพึ่งพิงในใจของทหารทุกนายอย่างแท้จริง
โลหิตผู้กล้า…มีอานุภาพสั่นสะเทือนสยบสามเหล่าทัพ
การศึกครั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเหมาเอาความดีความชอบอันดับหนึ่งไว้แต่เพียงผู้เดียว จะบอกว่าทำศึกเพียงครั้งเดียวก็ได้รับการยกย่องเป็นเทพก็ไม่เกินเลยไป
แต่การปูนบำเหน็จตามความดีความชอบในวันนี้ เขากลับได้เลื่อนขั้นเพียงจากซือหม่ากองนอกเป็นซือหม่าฝ่ายขวาหนึ่งในห้าซือหม่าของกองทัพ ส่วนตำแหน่งตูเว่ยที่เป็นรองเพียงตำแหน่งขุนพลเดิมซึ่งว่างอยู่หนึ่งตำแหน่งและทุกคนต่างเข้าใจว่าครั้งนี้ตำแหน่งนี้ต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน กลับตกไปเป็นของบุตรหลานในตระกูลขุนนางคนหนึ่งซึ่งเพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพได้ไม่กี่เดือน