ด้วยโสตประสาทของหลี่มู่มีหรือจะไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของเกาหวนกับลู่ฮ่วนจือที่อยู่ด้านหลัง
ชื่อที่คล้ายจะหลอมละลายเข้าไปในเลือดและกระดูกของเขา ในชาตินี้ได้ลอยตามสายลมยามราตรี แว่วเข้ามาในหูของเขาเป็นครั้งแรกด้วยวิธีเช่นนี้เอง
สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือกลับรวบเข้าหากันช้าๆ เส้นโลหิตที่หลังมือเต้นตุบๆ
“จิ้งเฉิน!”
ที่ด้านข้างมีคนเรียกเขา
หลี่มู่เงยหน้าขึ้นก็เห็นผู้บังคับบัญชาในเวลานี้ของตน หยางเซวียนขุนพลหู่เปิน จึงหยุดฝีเท้าลง
หยางเซวียนเดินเร็วๆ เข้ามา พอเข้ามาใกล้ก็เห็นได้ว่ามีสีสันที่เกิดจากฤทธิ์สุราอยู่บนใบหน้า เมื่อครู่คงดื่มสุรามาไม่น้อยเลย
“จิ้งเฉิน ข้ากำลังหาเจ้าอยู่!” หยางเซวียนเอ่ยขึ้น
“ท่านขุนพลมีอะไร เชิญสั่งการมาได้เลย”
หลี่มู่เดินเข้าไปรับหน้า บอกอย่างนอบน้อม
เขาเข้ามาเป็นทหารตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วงสองสามปีแรกต้องโยกย้ายอยู่หลายครั้ง ระเหเร่ร่อนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ตอนอายุสิบห้าบังเอิญได้พบกับหยางเซวียน เขาถูกหยางเซวียนเรียกใช้งาน และได้เข้าร่วมอยู่ในสังกัดของหยางเซวียน กระทั่งถึงวันนี้
ถึงแม้ว่าภายหลังหยางเซวียนเพราะสนับสนุนติดตามสกุลสวี่ที่ก่อกบฏตั้งตนเป็นฮ่องเต้จนตีเมืองเจี้ยนคังแตก แต่หลังจากรบแพ้ก็ฆ่าตัวตาย จะว่าไปแล้วนั่นก็เท่ากับตายด้วยน้ำมือของตน แต่หลี่มู่ยังคงให้ความเคารพนับถือต่อผู้บังคับบัญชาเก่าที่สนับสนุนตนมาโดยตลอดผู้นี้
หลังจากหยางเซวียนเสียชีวิต เขาได้สั่งคนให้จัดงานศพอย่างสมเกียรติ ทั้งใช้อำนาจในมืออภัยโทษให้ครอบครัวสกุลหยางเป็นกรณีพิเศษ ให้ลูกหลานของหยางเซวียนไม่ต้องพลอยรับภัยพิบัติไปด้วย
“จิ้งเฉิน การปูนบำเหน็จในวันนี้ ข้ารู้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม เมื่อครู่ข้าไปพบซือถู แสดงความคิดเห็นให้เขารู้ เพียงแต่…”
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจนใจ ชะงักนิ่งไปชั่วขณะ
“ซือถูบอกว่าเจ้าช่วยบุตรหลานสกุลเกาจากแนวหน้า แม้จะมีความดีความชอบ แต่เกาเซี่ยงกงได้รับปากจะปูนบำเหน็จให้เจ้าแล้ว ความดีความชอบอย่างหนึ่งไม่อาจปูนบำเหน็จสองครั้ง การเลื่อนขั้นเจ้าเป็นซือหม่าก็ถือว่าทำลายกฎเกณฑ์แล้ว” เขาทอดถอนใจ “ต้องโทษข้าที่ไร้ความสามารถ แต่เจ้าอย่าได้หมดกำลังใจ ตอนนั้นที่ข้าเห็นเจ้าบุกโจมตีเมืองเป็นครั้งแรก ก็รู้ว่าเจ้าหาใช่สัตว์ตัวเล็กที่อยู่ในสระน้ำ หลายปีมานี้เจ้าก็ทำให้เห็นแล้วว่าข้ามองเจ้าไม่ผิด ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องโดดเด่นเหนือผู้คนแน่นอน!”
บรรพบุรุษของหยางเซวียนมีอำนาจอยู่ในพื้นที่แถบจิงฉู่ มาหลายชั่วอายุคน หลายปีมานี้เมืองชายแดนกับจิงเซียง แถบนี้ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่เพราะมีชาติกำเนิดจากครอบครัวสามัญชนเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยตรากตรำมีคุณูปการมากเพียงใด ในสายตาของตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์ เขาก็เป็นเพียงขุนศึกหยาบกระด้างที่คู่ควรแก่การยกทัพไปปราบปรามข้าศึกศัตรูให้ตนเท่านั้น
หยางเซวียนได้ชื่อว่าเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญอันดับหนึ่งของสกุลสวี่ แต่มาบัดนี้ก็เพียงจัดอยู่ในอันดับขุนพลจ๋าเฮ่า ทั่วไปเท่านั้น ฐานะต่ำกว่าขุนพลซื่อเจิง ขุนพลซื่อเจิ้น ขุนพลหน้าหลังซ้ายขวาเหล่านั้นไม่มีคนใดไม่มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนาง
อย่างตนที่อาศัยความดีความชอบในการเลื่อนขั้นมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ ยังจะทำอันใดได้ แม้แต่บุตรชายของสวี่มี่ยังชักสีหน้าเรียกใช้ตนได้เลย
หยางเซวียนปากก็ปลอบโยนเช่นนั้น แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนได้รับการปฏิบัติต่อ ในก้นบึ้งของหัวใจใช่จะไม่รู้สึกเศร้ารันทดใจ
หลี่มู่บอก “ที่ซือถูกล่าวมาก็มีเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนั้นที่ผู้น้อยช่วยคนก็ไม่ได้มุ่งหวังจะได้เลื่อนขั้น ความตั้งใจดีของท่านขุนพล ผู้น้อยซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ท่านขุนพลไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยพูดเพื่อผู้น้อยอีกแล้ว”
หยางเซวียนได้ยินเขาปลอบโยนตนเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ