กองการคัดเลือกรับหน้าที่เสนอชื่อผู้เข้าสอบรับราชการทุกปีโดยเฉพาะ ในกองงานนี้มีผู้คุมสอบยี่สิบแปดคน แบ่งระดับไปตามคุณงามความดีและชื่อเสียง ระดับล่างเสนอชื่อได้ห้าสิบคน ระดับสูงเสนอชื่อได้สองร้อยคน ดังนั้นมีจวี่เหรินที่ได้รับเสนอชื่อรวมทั้งสิ้นหนึ่งพันสามร้อยหกสิบคน ทุกปีเซียงก้งที่เข้าสู่เมืองหลวง จะต้องเตรียมงานเขียนต้นฉบับสำหรับยื่นเข้าร่วมสอบตามระดับศาสตร์วิชา จะเป็นความเรียงหรือบทกลอนก็ได้ เพื่อให้ผู้คุมสอบคัดเลือก
หากไม่ได้รับการเสนอชื่อจากกองการคัดเลือก บัณฑิตยังสามารถนำงานเขียนไปแนะนำตนเองกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ปราดเปรื่องมากความสามารถในราชสำนักได้ แค่ว่าในหนึ่งพันคนอาจมีเพียงหนึ่งหรือสองคนที่ได้สมดังใจหวัง
วันที่สิบสาม หลูจื้อกับจี้เต๋อตื่นแต่เช้า นำม้วนงานเขียนกับใบสำคัญประจำตัวไปที่กองการคัดเลือกของกรมพิธีการ หลังยื่นสองสิ่งนี้ไปพร้อมกับเทียบชื่อแล้ว เพียงรอฟังข่าวอยู่ในวัดที่พำนักอยู่ ห้าวันให้หลังจะได้รับเสนอชื่อหรือไม่ก็จะได้รู้กัน
เมื่อส่งงานเขียนไปแล้ว จี้เต๋อชวนหลูจื่อไปพบสหายที่รู้จักตอนสอบเข้ารับราชการเมื่อปีที่แล้วด้วยกัน ครั้นถูกหลูจื้อปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม เขาก็แยกไปตามลำพังโดยไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจ
หลูจื้อกับหลูจวิ้นสองคนกลับถึงวัดหงฝู พอเข้าสู่เรือนพักแขกซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราว คนหนึ่งอ่านตำราอยู่ในห้อง คนหนึ่งรำมวยอยู่ในลาน ทว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็มีฝ่ายหนึ่งอดรนทนไม่ไหวก่อน
“เฮ้อ…เบื่อ! พี่ใหญ่ เมื่อครู่นี้พี่จี้ชวนพวกเราไปเยี่ยมเยียนสหายด้วยกัน ไฉนจึงปฏิเสธเล่า” หลูจวิ้นเดินพูดตัดพ้อต่อว่าจากลานด้านนอกเข้ามาในห้องแล้วก้าวไปหยุดอยู่ใกล้ๆ หน้าโต๊ะหนังสือของพี่ชาย
หลูจื้อไม่ขุ่นใจที่เขาขัดจังหวะตนเองอ่านตำรา เหลือบตาขึ้นเหล่มองน้องชายแวบหนึ่งก่อนกล่าว “คำพูดตามมารยาทยังแยกแยะไม่ออก เจ้ายังไม่เข้าใจผู้คนได้เท่าเสี่ยวอวี้เลยนะ”
“เอ๊ะ? นั่นเขาพูดตามมารยาทหรือ ข้าฟังไม่ออกจริงๆ”
“ต่อให้มิใช่คำพูดตามมารยาท การไปเยี่ยมสหายกับเขา ย่อมต้องร่วมกินอาหารดื่มน้ำชาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วเจ้าจะกินดื่มของเขาเปล่าๆ โดยไม่ละอายใจหรือไร ในเมื่อเป็นการเที่ยวเล่น ก็ต้องใช้สอยเงินทอง แม้ค่าเดินทางที่ท่านแม่ให้มาจะเพียงพอ แต่ในเรือนกลับเหลืออยู่ไม่กี่มากน้อย หากเจ้าอยากไปเที่ยวเล่น ลองตรองดูเสียก่อนว่าท่านแม่กับเสี่ยวอวี้ทำงานหาเงินอย่างไรเถอะ”
กล่าวจบหลูจื้อไม่แยแสเขาอีก พลิกตำราในมือที่เก่าจนเหลืองซีดอย่างเบามือ และท่องเสียงดังกังวานต่อไป ถึงหลูจวิ้นเป็นคนโผงผาง หากแต่ยังรู้ดีรู้ชั่ว เมื่อได้ยินพี่ชายอธิบายเช่นนี้ เขานึกถึงคำกำชับกำชาของมารดาก่อนออกเดินทาง จึงล้มเลิกความคิดที่จะออกไปข้างนอกโดยพลัน
ยามบ่ายวันเดียวกันที่กองการคัดเลือก ผู้คุมสอบหลายคนกำลังชุมนุมกันอ่านม้วนงานเขียนหลายฉบับอย่างคร่ำเคร่ง ในบรรดานั้นงานชิ้นที่เป็นถกเถียงมากที่สุดคือความเรียงในศาสตร์วิชาระดับจิ้นซื่อ ซึ่งกล่าวถึงระเบียบการคัดเลือกขุนนางของราชวงศ์นี้ และวิพากษ์สถานภาพของลูกหลานขุนนางกับบัณฑิตยากจน
“ตัวอักษรเขียนได้ดียิ่งนัก เพียงแต่ถ้อยความกลับเพ้อเจ้อเลอะเทอะ”
“เหลวไหลทั้งเพ”
“ถูกต้อง! ใต้เท้าทั้งหลายโปรดดู ในใบสำคัญของบัณฑิตผู้นี้บันทึกไว้ว่าเพิ่งมีอายุสิบสี่ปีเต็ม เห็นชัดว่าเป็นวาจาเหิมเกริมลำพองของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
“แค่ก!” เสียงกระแอมไอหนักๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นตัดบทผู้คุมสอบที่ตบโต๊ะฉีกกระดาษด้วยความโกรธา เห็นผู้อาวุโสมีโหนกแก้มเป็นสันนูนเด่นคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา ทุกคนพากันกุลีกุจอลุกขึ้นไปยืนอยู่หน้าโต๊ะตัวเตี้ยอย่างสำรวม และค้อมกายคารวะทักทายผู้อาวุโสท่านนั้นอย่างเคารพนบนอบ