“ใต้เท้าเจิ้ง”
“อืม ใต้เท้าทุกท่านกำลังถกเถียงเรื่องใดกันอยู่หรือ ข้าอยู่ห่างจากประตูห้าจั้งก็ได้ยินเสียงโต้เถียงของพวกท่านแล้ว” ใต้เท้าเจิ้งผู้คุมสอบนี้ถือได้ว่าเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุด และความสามารถโดดเด่นที่สุดของกองการคัดเลือก แต่เพราะสูงวัยมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงอนุญาตเป็นพิเศษให้เขามาทำงานที่กองหลังยามเซิน ทุกวัน
“ใต้เท้า ตรงนี้มีความเรียงของบัณฑิตคนหนึ่ง ถ้อยความที่เขียนมีนัยจะสร้างความปั่นป่วนให้กับระเบียบแบบแผนของราชสำนักจริงๆ พวกข้ากำลังโกรธเคืองด้วยเรื่องนี้ ถึงเสียกิริยาไปขอรับ”
“เอามาให้ข้าอ่านสิ”
ผู้คุมสอบที่เอ่ยปากอธิบายคนนั้นหมุนกายไปหยิบความเรียงแผ่นนั้นมายื่นส่งให้ใต้เท้าเจิ้งอย่างพินอบพิเทา
ใต้เท้าเจิ้งกวาดสายตาอ่านความเรียงซึ่งมีความยาวไม่กี่ร้อยคำแผ่นนี้ผ่านๆ ก่อน จากนั้นสีหน้าของเขาคลายความเคร่งขรึมลง พูดกล่อมคนที่อยู่เบื้องหน้าหลายคนด้วยวาจานุ่มนวล
“ใต้เท้าทั้งหลายไม่ต้องมีน้ำโหจนเสียกิริยาเพราะบัณฑิตที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มันมิใช่สิ่งที่คนระดับพวกเราพึงกระทำจริงๆ ใต้เท้าจาง หาเทียบชื่อกับใบสำคัญของบัณฑิตที่เขียนความเรียงนี้ให้ข้าที ข้าจะไปถอนชื่อที่สำนักระเบียบการด้วยตนเอง วันหลังพวกท่านคิดขึ้นมาจะได้ไม่ขุ่นเคืองอีก”
สิ้นเสียงเขา ผู้คุมสอบแซ่จางหยิบของสองสิ่งนั้นยื่นส่งให้
ใต้เท้าเจิ้งรับมาทีละชิ้นแล้วเอ่ยกับทุกคน “ข้ายังต้องไปดูที่อื่นอีก ใต้เท้าทุกท่านทำงานต่อเถอะ”
พวกคนที่อยู่ด้านหลังค้อมกายอีกคราเป็นการคารวะส่ง ใต้เท้าเจิ้งถึงก้าวออกไปด้วยฝีเท้าเนิบนาบอยู่บ้าง
ราตรีนี้ ภายในจวนหลังใหญ่กำแพงสูงแห่งหนึ่งของเมืองฉางอัน ผู้อาวุโสสวมอาภรณ์ลำลองสองคนนั่งอยู่ด้วยกันที่หน้าโต๊ะฝังหยกลายพยัคฆ์ในห้องหนังสือ ชี้ม้วนกระดาษในมือคนหนึ่งไปพลาง สนทนากันเบาๆ ไปพลาง
“…น่าเสียดายๆ ไฉนความเรียงชั้นนี้ถึงส่งไปที่กองการคัดเลือกของพวกเจ้าเสียได้”
“เอ๊ะ! เจ้าเฒ่าผู้นี้ ข้าอุตส่าห์เอาของดีๆ มาให้ดูถึงเรือน เจ้ากลับเหน็บแนมกองการคัดเลือกของข้าซะแล้ว”
“ฮ่าๆ ลู่กงอย่าได้ฉุนเฉียว หยอกเล่นเท่านั้น นี่ข้ามิใช่คับแค้นเหลืออดหรือไร หากบัณฑิตผู้นั้นส่งมาทางข้า ต้องได้รับเสนอชื่อเข้าสอบชุนเหวยทันที เผอิญกลับส่งไปทางพวกเจ้า เกรงว่าคงทำให้พวกหัวโบราณคร่ำครึโมโหเจียนคลั่งตายได้หลายคน”
“แค่กๆ อย่าออกนอกเรื่อง ข้าถามเจ้าคำเดียว บัณฑิตคนนี้เจ้าต้องการหรือไม่”
“ต้องการ! ทำไมจะไม่ต้องการเล่า แต่ว่า…เจ้าหักใจได้หรือ”
“เฮ้อ…มิใช่ข้าจะไม่รู้ว่าขณะนี้กองการคัดเลือกไม่อาจเทียบกับในกาลก่อนได้แล้ว แม้คำพูดของข้ายังพอมีน้ำหนักอยู่ ทว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าอีกสองคนนั่น หากดึงดันเก็บใบสำคัญของบัณฑิตผู้นี้ไว้ ข้าหวั่นใจว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้เขาแทนน่ะสิ”
“ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าให้เจ้าโยกย้ายไปที่อื่น เจ้ากลับไม่รู้ฟัง ถ้ามิใช่เจ้าปฏิเสธพระประสงค์ของฮ่องเต้หลายครั้งหลายครา ไหนเลยจะสร้างความขุ่นเคืองให้เขา”
“ตอนแรก…ตอนแรกข้าคิดว่าสามารถทำประโยชน์ให้บัณฑิตยากจนพวกนั้นได้บ้าง มาบัดนี้เพิ่งรู้ว่าหาใช่ข้าคนเดียวทำได้ไม่…”
“เอาล่ะ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย เรื่องนี้เค่อหมิงรับหน้าที่ไว้แล้ว รับรองว่าจะเอาตัวเขาเข้าไปได้แน่นอน”
“เช่นนั้นก็ขอบใจมาก”
“ขอบใจอะไรกัน ขอบใจที่ข้าแย่งบัณฑิตดีๆ คนหนึ่งจากเจ้าหรือ ฮ่าๆๆๆ”
“เฒ่าอย่างเจ้านี่นะ เฮ้อ…ช่างเถิดๆ…”
การสนทนาอันยาวนาน ณ ราตรีกลางวสันตฤดูของสหายร่วมสำนักศึกษาในวันวานทั้งสองได้เบิกทางอีกสายหนึ่งให้แก่บัณฑิตยากจนคนหนึ่งที่เกือบถูกตัดเส้นทางการเป็นขุนนางไปแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…