เมื่อได้ยินคำถามของเขา หลูซื่อมีสีหน้าแปลกพิกลๆ อาเซิงเห็นแล้วนึกว่าอีกฝ่ายไม่สะดวกใจที่จะตอบ ตั้งท่าจะเสนอเงื่อนไขตามที่หารือกับเจ้านายไว้เมื่อวาน ก็ได้ยินหลูซื่อพูดด้วยน้ำเสียงกระดากๆ “บุตรสาวข้าชอบขลุกอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าแต่เล็ก เอ่อ…ใบปั้วเหอนี้ นางเก็บมาจากริมแม่น้ำทางตะวันตกของหมู่บ้านกลับมาปลูกเล่นๆ ชื่อของมันก็เป็นนางตั้งเอาเองส่งเดช”
อี๋อวี้รับฟังอยู่ด้านข้างแล้วมุมปากกระตุกริกๆ นึกในใจว่าถ้าไม่รู้สรรพคุณของมัน นางจะมีเวลาว่างเก็บ ‘ต้นไม้ใบหญ้า’ กลับเรือนมาปลูก ‘เล่นๆ’ ที่ไหนกันเล่า
อาเซิงได้ยินคำอธิบายของนางแล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาพยักหน้ากับหลูซื่อ ก่อนจะหันไปถามอี๋อวี้ “น้องสาว เจ้ายังมีใบปั้วเหอนี้อีกหรือไม่”
อี๋อวี้ตามตามความจริง “เหลือแค่ที่อยู่ในถุงใบนี้เจ้าค่ะ”
อาเซิงได้ยินนางตอบเช่นนี้ สีหน้าพลันปรากฏรอยคับแค้นใจ เมื่อวานเขาคิดเสียดิบดีว่าพอสอบถามได้ความว่าของสิ่งนี้มีที่มาอย่างไรก็จะส่งคนไปเสาะหา จากนั้นขอซื้อจากพวกนางบางส่วนไว้ให้คุณชายใช้ตอนนี้
ยามนี้แผนการทั้งสองทางล้วนล้มเหลว เจ้าสิ่งนี้ยังเป็นของเล่นสนุกของแม่นางน้อยคนนี้อีก หากที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าคือบนตัวนางเหลืออยู่น้อยนิดเท่านี้ แล้วเมื่อเช้าตอนตื่นขึ้นมา เจ้านายที่อารมณ์ดีเพราะนอนหลับสนิทอย่างหาได้ยากยังเอ่ยปากเตือนเขาว่าถึงถุงเครื่องหอมนี้จะได้ผลดี แต่กลิ่นจางลงกว่าเมื่อวานอยู่บ้าง น่าจะใช้ได้แค่สี่ห้าวันก็หมดกลิ่นแล้ว ที่นี้จะทำอย่างไรดีเล่า
ขณะที่อาเซิงกำลังกลัดกลุ้ม ในหัวสมองน้อยๆ ของอี๋อวี้กำลังคาดคะเนไปต่างๆ นานา นางเพิ่งคิดจะอ้าปากพูดปลอบชายหนุ่มที่ทำหน้าตากลัดกลุ้มเต็มที ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
“มีเมล็ดพันธุ์หรือไม่”
คุณชายฉางเอ่ยถามคำนี้ขึ้นกะทันหัน ทำให้ทุกคนนิ่งงันไปตามๆ กัน
อาเซิงได้ยินเขาถามขึ้น คิดในใจว่ายังคงเป็นเจ้านายของตนที่ฉลาดเฉลียว ตอนแรกเขาคิดว่าหลังจากเข้าสู่ด่านในแล้วจะส่งม้าด่วนไปขุดต้นปั้วเหอกลับมาสองสามต้นแก้ขัดไปก่อนชั่วคราว กลับมิได้ไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ว่าเมื่อถึงที่นั่นแล้วอาจหา ‘พืชป่า’ ที่ว่านั่นไม่พบ ฉะนั้นมิสู้ขอเมล็ดพันธุ์ไว้ ต่อให้หาไม่พบยังสามารถรอไประยะหนึ่งจนปลูกขึ้นแล้ว อย่างไรก็ดีกว่าไม่ได้อะไรสักอย่าง
ด้วยเหตุนี้เขาอ้าปากถามอี๋อวี้ซ้ำอีกครั้งตามคำพูดของคุณชายฉาง “น้องสาว เจ้ามีเมล็ดพันธุ์ของใบปั้วเหอหรือไม่”
ถึงอี๋อวี้ไม่ล่วงรู้ความคิดในใจของคนทั้งสอง แต่ก็ไม่ถามพวกเขาตรงๆ ว่าต้องการใบปั้วเหอไปทำอะไร นางเอ่ยตอบ “มีเจ้าค่ะ”
อาเซิงถามต่อ “ขายให้ข้าบ้างได้หรือไม่”
หลูซื่อได้ยินเขากล่าวแบบนี้ก็พูดแทรกขึ้นด้วยหน้าตาเคร่งขรึม “หากผู้มีพระคุณต้องการก็เอาไปได้เลย พูดเรื่องซื้อขายอะไรกัน กลับทำให้พวกข้าต้องละอายใจแล้ว” นางหันไปบอกอี๋อวี้ “เจ้าหยิบเมล็ดพันธุ์ของต้นปั้วเหอมามอบให้ผู้มีพระคุณทั้งหมดเลย”
แม้อี๋อวี้อยากรู้เหลือเกินว่าสองคนนี้จะปลูกปั้วเหอไว้ใช้ประโยชน์อะไร ทว่านางไม่ตระหนี่ในของเล็กๆ น้อยๆ นี้ จึงพยักหน้าพลางตอบ “ข้าเก็บไว้ในห่อผ้า อีกประเดี๋ยวพวกเราออกเดินทางแล้วข้าหยิบให้ผู้มีพระคุณนะเจ้าคะ”
กล่าวจบนางไม่รอให้ร่องรอยยินดีแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอาเซิง กล่าวเสริมขึ้นด้วยเจตนาดี “เพียงแต่ว่าต้นปั้วเหอนี้ปลูกได้ไม่ง่ายนัก ข้าเองต้องลองผิดลองถูกอยู่นานพักใหญ่ถึงจับหลักได้บ้าง ถ้าใช้เมล็ดเพาะจะเลี้ยงให้รอดได้ยาก มิสู้ปลูกด้วยการปักชำกิ่งดีกว่า ถ้าท่านตั้งใจจะปลูกต้นนี้ให้รอดจริงๆ ข้าจะบอกสิ่งที่ต้องระวังให้ท่านฟังอย่างละเอียดเจ้าค่ะ”
มาตรว่าคำพูดของนางจะต่อเติมเสริมแต่ง แต่มีความจริงผสมอยู่หลายส่วน นางใช้เลือดตนเองหล่อเลี้ยงต้นปั้วเหอ เลยไม่จำเป็นต้องสนใจลักษณะทางธรรมชาติของมันสักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ปลูกมาสามปี ย่อมต้องรู้จักมันดีและพอมีเคล็ดลับบ้าง
เห็นนางพูดตอบด้วยวาจาฉะฉานคมคายและเป็นเหตุเป็นผล อาเซิงอุทานชมอยู่ในใจแล้วพยักหน้าขานรับ