บทที่สิบสาม
ยามที่ทุกคนเดินทะลุผ่านลานด้านหน้ามาถึงเรือนโถงกลาง อี๋อวี้ชายตามองสำรวจเครื่องเรือนและการประดับตกแต่งในห้องโถง โต๊ะเก้าอี้ไม่เหมือนในเรือนคนทั่วไปที่ใช้พวกโต๊ะตัวเตี้ยวางบนเสื่อปูพื้น หากแต่เป็นเก้าอี้มีพนักพิงทาสีแดงทำจากไม้อะไรก็สุดรู้ กับโต๊ะน้ำชาไม้แดงสูงเท่าครึ่งตัวคนตั้งอยู่ด้านข้าง รูปทรงและฝีมือล้วนงดงามประณีตกว่าที่นางเห็นในเรือนนายตำบลจางเป็นอย่างมาก
คุณชายฉางนั่งบนเก้าอี้ตัวกลางตรงผนังทิศเหนือที่แขวนม้วนภาพวาดในห้องโถง หลูซื่อจูงอี๋อวี้ไปนั่งฝั่งซ้าย บนเก้าอี้จะวางเบาะรองปักลายไว้ นั่งลงไปแล้วนุ่มๆ นิ่มๆ ทำให้พวกหลูซื่อที่เคยชินกับการนั่งบนเสื่ออึดอัดไปทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้ พวกคนรับใช้ที่พาทุกคนเข้ามา มีสองคนถือสัมภาระของพวกนางยืนอยู่ข้างนอก ส่วนเด็กรับใช้หน้าดำคนนั้นยืนรอรับคำสั่งอยู่ข้างในกับอีกคนหนึ่ง
อาเซิงยืนห่างจากข้างกายคุณชายฉางไปสองก้าว เห็นพวกนางนั่งลงหมดแล้วถึงกล่าวยิ้มๆ “ไม่ต้องระวังตัวนัก ที่นี่เป็นคฤหาสน์พักผ่อนในตำบลหลงเฉวียนของคุณชายฉางขอรับ”
ยามอี๋อวี้ย่างเข้าประตูใหญ่มาก็มองเห็นแผ่นป้ายด้านบนที่มีอักษรสี่ตัวคำว่า ‘คฤหาสน์เสียนหรง’ แล้ว เมื่อวานตอนอาเซิงออกความคิดให้หลูซื่อ มิได้บอกชัดว่าพวกเขามีเหย้าเรือนที่นาอยู่ในตำบลนี้ ไม่รู้ว่าจงใจไม่เอ่ยถึงหรือว่าลืมบอกไปจริงๆ
ใบหน้าของหลูซื่อแฝงรอยฉงนใจ นางตั้งท่าจะเอ่ยถาม ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังลอยมาระลอกหนึ่ง สาวใช้สวมเสื้อตัวสั้นนุ่งกระโปรงสีขาวอมชมพูสองนางประคองถาดสีน้ำตาลเดินเข้ามาจากนอกโถง พวกนางวางกาน้ำชากับถ้วยลงบนโต๊ะเล็กด้านข้างแต่ละคน แล้วค่อยๆ เทน้ำชาร้อนจนเต็มถ้วยด้วยกิริยาสำรวมนอบน้อม
หางตาของอี๋อวี้เหลือบไปเห็นสาวใช้หน้าตาหมดจดคนหนึ่งในนั้นแอบชำเลืองมองพวกนางตอนรินน้ำชา แววตาทอประกายดูแคลนจางๆ ทำให้นางลอบย่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างสุดระงับ ก่อนหน้านี้อาเซิงเอ่ยว่าจะหาเรือนหลังหนึ่งในตำบลนี้ให้พวกนางอาศัยอยู่ไปก่อน คงมิใช่คฤหาสน์เสียนหรงนี้กระมัง แล้วที่แห่งนี้ใช่เรือนคนทั่วไปที่ไหนกัน เทียบกับเรือนใหญ่ในจวนของนายตำบลจางแล้วยังโอ่โถงกว่ามาก
“ฮูหยิน ข้าให้คนเก็บกวาดเรือนเล็กที่แยกออกไปให้พวกท่านหลังหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่ทว่ามีพร้อมพรั่งทุกอย่าง พวกท่านพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวดีหรือไม่ขอรับ” คำกล่าวของอาเซิงยืนยันการคาดเดาของอี๋อวี้ กระนั้นใจนางไม่ใคร่อยากจะพำนักอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อคืนนางกับหลูซื่อหารือกันแล้วว่าพอถึงตำบลหลงเฉวียนจะจ่ายค่าเช่าบางส่วนก่อน และพักในเรือนที่อาเซิงหาให้ รอเมื่อหาซื้อที่นาและขึ้นทะเบียนราษฎร์ได้สำเร็จ จะทำไร่ไถนาหาเลี้ยงชีพพร้อมกับทำงานฝีมือไปขายเป็นเงินจุนเจือค่าใช้สอยในเรือนดังเช่นที่ผ่านมา เมื่อเก็บหอมรอมริบได้มากพอแล้ว ต้องมีเรือนเป็นของตนเองไม่ว่าจะสร้างหรือจะซื้อก็ได้ทางใดทางหนึ่ง อาเซิงกลับจะให้พวกนางพักในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยบ่าวไพร่หลังนี้ก่อน ซ้ำยังจัดเรือนเล็กให้อยู่ต่างหากอีกด้วย พวกนางจะขออาศัยอยู่เปล่าๆ ก็กระดากใจ แต่ค่าเช่าต้องจ่ายเท่าไหร่จึงจะดีเล่า
หลูซื่อคิดตรงกับอี๋อวี้ นางได้ยินอาเซิงกล่าวอย่างนี้ นิ่งคิดเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “พวกข้าเป็นคนชนบท พำนักอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตแบบนี้เกรงจะไม่เหมาะไม่ควร มิสู้เช่าเรือนชาวบ้านสักระยะ รอสะสมเงินได้มากพอแล้วค่อยคิดอ่านกันอีกที”
อาเซิงพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ฮูหยินเห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว คุณชายของพวกข้ายังรอให้บุตรสาวคนเล็กของท่านปลูกต้นปั้วเหออยู่มิใช่หรือ พักอยู่ด้วยกันก็ช่วยเหลือกันได้สะดวกนะขอรับ”
หลูซื่อยิ้มฝืดๆ “ของนั่นมีราคาค่างวดอันใด ถึงกับคุ้มค่าพอให้แบ่งเรือนให้พวกข้าพักแยกต่างหาก นี่กลับเป็นพวกข้าเอารัดเอาเปรียบเกินไป อีกอย่างหากพำนักที่นี่จริงๆ หวั่นใจว่าต้องเป็นเวลาไม่น้อยกว่าครึ่งปี จะเป็นการรบกวนพวกท่านโดยใช่เหตุ” แม้หลูซื่อพูดจาอ้อมค้อม หากน้ำเสียงฉายรอยเด็ดเดี่ยว อาเซิงมองออกว่านางไม่ยอมตอบตกลงเป็นอันขาด
“คุณชายขอรับ” เขาหมุนกายไปเรียกขานคำหนึ่งอย่างลำบากใจเพราะเหตุนี้ ทุกคนพากันเลื่อนสายตาตามไป
อี๋อวี้หันหน้าไป มองเห็นท่าทาง ‘ธุระมิใช่’ ของคุณชายฉางตรงที่นั่งเจ้าของเรือน อาภรณ์สีน้ำเงินบนตัวเขามีรอยยับนิดหน่อย ผมตรงจอนสองข้างรุ่ยลงมาบางเส้น นางอดมิได้ที่จะเปรียบเทียบลักษณะของเขาในยามนี้กับร่างงามสง่าจับตาที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมฝูหยวน รู้สึกว่าแม้ขณะนี้เขายังนั่งเด่นเป็นสง่า แต่ท่วงท่าของร่างกายเผยวี่แววอ่อนล้าเฉื่อยชาไว้รางๆ ถ้ามิใช่มือเขากุมถ้วยน้ำชาไว้เบาๆ ชวนให้นึกว่าเขานอนหลับไปแล้วจริงๆ
ขณะที่อี๋อวี้เพ่งพิศเขาอยู่นั่นเอง คุณชายฉางพลันยอมเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ไม่อยู่ที่นี่ ก็ไปซะ”
ถ้อยคำของเขาดังขึ้น คนอื่นๆ ในห้องโถงมีสีหน้าต่างๆ กันไป ใบหน้าของหลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงทอแววอับอาย อี๋อวี้ขมวดคิ้ว อาเซิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน เป็นคราแรกที่ไม่รู้ว่าสมควรกล่าวตอบผู้เป็นนายเช่นไรดี