คฤหาสน์หลังใหญ่ ณ เมืองฉางอัน
ยามไฮ่ สามเค่อ ในห้องหนังสือที่มีแสงตะเกียงไหววูบวาบ ร่างที่นั่งทำงานง่วนอยู่ตรงหน้าโต๊ะมาเกือบสองชั่วยาม วางพู่กันลงด้านข้างในที่สุด เหยียดแขนบิดขี้เกียจทีหนึ่งแล้วตะเบ็งเสียงบอกไปทางนอกห้อง “อาฝู ยกอาหารมื้อดึกเข้ามา”
เสียงขานรับดังขึ้นนอกประตู คนที่อยู่ในห้องถึงลุกขึ้นเดินไปอีกฟากหนึ่งของห้อง นั่งลงบนม้านั่งตัวยาวที่ปูพรมขนสัตว์ เอื้อมมือไปหยิบม้วนงานเขียนฉบับหนึ่งที่ส่งมาให้วันนี้ เพียงไล่สายตาอ่านคร่าวๆ ก็ขมวดคิ้วมุ่น
“เพ้อเจ้อเลื่อนเปื้อน!”
หลังสบถด่าคำหนึ่ง เขานึกถึงเรื่องที่คนที่ถูกส่งไปสืบข่าวกลับมารายงานให้รู้ ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้น จากนั้นหยิบความเรียงอีกม้วนหนึ่งมาคลี่ออกอ่าน เพียงแต่หนนี้มิได้ดูผ่านๆ แล้วบริภาษอย่างเมื่อครู่ กลับอ่านอย่างตั้งใจยิ่งขึ้นทุกที เมื่ออ่านจนจบทั้งฉบับ เขาลุกพรวดพราดไปที่ชั้นหนังสือด้านข้าง หยิบความเรียงที่รัดไว้ด้วยเชือกสีแดงม้วนหนึ่งลงมาคลี่เปิดออก และนำทั้งสองฉบับมาวางเทียบกันบนโต๊ะ
จวบจนมีเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ เขาดึงความคิดคืนมาเงยหน้าขึ้น เห็นดวงตาใต้เรียวคิ้วหนาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยแววตื่นเต้นยินดี
ใต้แสงเทียน ม้วนงานเขียนสองฉบับบนโต๊ะวางเคียงกันซ้ายขวาหาได้มีอันใดผิดแผกแตกต่างกัน แค่ว่าตรงตอนท้ายของฉบับที่อยู่ด้านขวามีถ้อยความเพิ่มขึ้นมาสองสามประโยคว่า
‘เหตุที่เขียนงานขึ้นสองฉบับพร้อมกัน ฉบับหนึ่งยื่นต่อกองการคัดเลือก หากวันใดมิเห็นสารแจ้งข่าว คงเพราะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เสนอชื่อเป็นแน่แท้ อันว่าอุดมการณ์ต่าง ไยต้องร่วมทางเดียวกัน แต่ไรมาได้ยินคำกล่าวขวัญถึงความเป็นผู้มีใจซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในคุณธรรม วันถัดมาจึงส่งอีกฉบับแก่ท่านผู้ทรงภูมิ หากท่านมีใจประสงค์ สามารถขอฉบับแรกจากกองการคัดเลือก ด้านหลังของแผ่นกระดาษทั้งสองล้วนมีตราประทับหมึกดำ ได้เทียบทานกันเพื่อพิจารณาตัดสิน’
เรือนหลังของวัดหงฝู
หลูจื้อนั่งอยู่ข้างหน้าต่างพลิกอ่านตำราพงศาวดารเล่มหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจไยดีหลูจวิ้นที่ถอนใจเฮือกๆ มาพักใหญ่อยู่เบื้องหน้า
“เฮ้อ…พี่ใหญ่ เหตุใดพี่ไม่ร้อนใจสักนิด ส่งม้วนงานเขียนไปเมื่อสามวันก่อน ตอนนี้ยังไม่มีข่าวเลย พี่จี้ได้รับใบสำคัญประจำตัวไปลงนามที่กรมอากรแล้ว พี่ยังมีแก่ใจอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้อีกหรือ”
หลูจวิ้นทำหน้าม่อยมองหลูจื้อที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาเหยียดมือไปแย่งหนังสือในมือพี่ชายมาอย่างอดรนทนไม่ไหวในที่สุด เพื่อให้อีกฝ่ายตั้งใจฟังตนเองพูด
“พี่ใหญ่ พวกเรายังเหลือเงินทองอยู่ส่วนหนึ่ง เมื่อวานพี่จี้บอกว่าพอมีลู่ทางไม่ใช่หรือ ข้าว่าพวกเราส่งสินน้ำใจไปเบิกทางบ้างดีกว่า”
เมื่อหนังสือถูกดึงไป หลูจื้อเพียงขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วลุกขึ้นยืน ก้าวออกจากห้องไปอย่างเอื่อยเฉื่อยโดยไม่แยแสหลูจวิ้นที่ตะโกนเสียงดังไล่หลัง
เสียงสวดมนต์จากหอด้านหน้าลอยแว่วมาถึงในเรือน ขณะนี้เป็นเวลารุ่งเช้า ทั้งยังอยู่ในช่วงพฤกษชาติเริ่มผลิใบสีเขียวอ่อนๆ พุ่มต้นอิ๋งชุนแอบแตกยอดอ่อนสีเหลืองอยู่ตรงกำแพงทิศใต้ ลำพังแค่ดูสีหน้าไม่อาจหยั่งเดาจิตใจของหลูจื้อได้แม้สักนิดว่าร้อนรุ่มกระวนกระวายหรือไม่ หากพรุ่งนี้ยังไม่ได้รับข่าวจากกองการคัดเลือก เช่นนั้นก็หมดวาสนากับการสอบชุนเหวยแล้ว
“ทองพิสุทธิ์แรกส่องประกาย วสันต์เฉิดฉายเสน่หา มิอาจเทียบหลันเซียงงามสง่า ผลิบานช้ายิ่งกว่าเหมยเหมันต์” หลูจื้อเอื้อนกลอนบทหนึ่งเบาๆ จบ คลายยิ้มบางๆ อย่างเยาะหยันตนเอง เขาเพิ่งจะหมุนกายเดินกลับไป ก็ได้ยินเสียงหัวร่อดังกังวานระลอกหนึ่ง
“ดอกอิ๋งชุนช่อหนึ่งเล็กๆ ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจถึงเพียงนี้ หรือที่แท้เป็นคุณชายมีความคับข้องอยู่ในใจ”